ตราสารหนี้ที่มีอนุพันธ์แฝงตัวช่วยการลงทุนรับการฟื้นตัวของตลาดหุ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่สูง

ตราสารหนี้ที่มีอนุพันธ์แฝงตัวช่วยการลงทุนรับการฟื้นตัวของตลาดหุ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ยังมีอยู่สูง

เดือนม.ค.ที่ผ่านมาสินทรัพย์ต่างๆ ได้มีการกลับตัวจากช่วงปลายปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ ตลาดหุ้น และทองคำ ต่างปรับตัวสูงขึ้น สาเหตุหลักๆ นั้นเกิดจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่ลดลงมาต่อเนื่อง 

ส่งผลต่อการคาดการณ์ของนักลงทุนว่า เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอัตราที่ปกติคือ 0.25% อีกเพียง 2 ครั้งในปีนี้ และมีโอกาสปรับลดลงในช่วงปลายปี แต่อีกสาเหตุที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงนโยบายของจีนที่ออกจากนโยบาย Zero Covid กลับมาเปิดประเทศเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาด

 ทั้งนี้นักวิเคราะห์ของทางจูเลียสแบร์ได้มีการปรับประมาณการณ์การเติบโตเศรษฐกิจจีนในปีนี้ขึ้นจากระดับ 4.7% เป็น 5.2% ซึ่งการที่เศรษฐกิจของจีนฟื้นตัวนั้น คาดว่าจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเอเชียและยุโรปทำให้ความกังวลเรื่องการถดถอยทางเศรษฐกิจนั้นลดลง ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ดัชนีหุ้น MSCI China ปรับตัวขึ้น 12.3% MSCI Europe 6.7% และดัชนี S&P500 +6.2% 

โดยกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นได้ดีนั้นคือกลุ่มที่มีการปรับตัวลงหนักในปีที่ผ่านมา เช่นกลุ่มเทคโนโลยี ดัชนี Nasdaq นั้นบวกได้ถึง 10.7% ในด้านตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10ปี ปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 3.4% ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้นอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินประเทศสำคัญรวมไปถึงทองคำ ซึ่งทำให้ทองคำมีราคาปรับตัวขึ้นถึง 10.9% (ที่มา Bloomberg ณ วันที่ 31 ม.ค. 2566)

แม้สินทรัพย์ต่างๆ จะปรับตัวขึ้นได้ดี ในทางกลับกัน Sentiment ของนักลงทุนนั้นยังคงระมัดระวัง โดยยังคงมีความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอย และการคาดว่าจะเห็นการปรับลดคาดการณ์ของกำไรบริษัทจดทะเบียนลงทำให้การประกาศงบไตรมาส 4 ปี 2565 ที่กำลังประกาศในช่วงนี้ถูกให้ความสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะมุมมองของผู้บริหารต่อทิศทางรายได้และผลประกอบการในปีนี้ซึ่งเราคาดว่าผู้บริหารส่วนใหญ่จะยังคงให้มุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวัง

 ในส่วนของตลาดหุ้นจีนนั้น นักวิเคราะห์ของจูเลียสแบร์คาดว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นนั้นสะท้อนปัจจัยเชิงบวกจากการเปิดประเทศและการกระตุ้นเศรษฐกิจไปมากพอสมควรแต่ก็ยังคงมีโอกาสที่จะปรับตัวขึ้นต่อได้อีกเช่นกัน การลงทุนในหุ้นจีนยังคงให้น้ำหนักไปในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ เช่นกลุ่มท่องเที่ยว การบริโภคของจีนซึ่งได้ประโยชน์ทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศโดยเฉพาะบริษัทสินค้าแบรนด์เนมในยุโรปซึ่งมียอดขายจากประเทศจีนมากกว่า 1 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมด

อย่างไรก็ตามแม้ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นในภาพรวมยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ แต่อาจจะต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น เพราะจะเริ่มมีระดับราคาที่แพงขึ้น และอาจมีความเสี่ยงที่จะถูกขายทำกำไรก็มีเพราะในหุ้นหลายๆ บริษัทนั้นปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดมาแล้วถึงเท่าตัวหรือ 100% อาจจะเกิดการปรับฐานได้ เครื่องมือการลงทุนที่เหมาะกับสภาวะตลาดในลักษณะนี้นักลงทุนสามารถใช้ตราสารหนี้ที่มีอนุพันธ์แฝงหรือ Structured product ที่เรียกว่า Booster cap note ที่อิงกับตะกร้าหุ้นที่นักลงทุนมีมุมมองบวกและมีโอกาสปรับตัวขึ้นในระยะข้างหน้า 

โดยจะมีโอกาสได้รับอัตราผลตอบแทนตามหุ้นที่มีการปรับตัวขึ้นน้อยที่สุดในตะกร้าคูณกับอัตราการมีส่วนร่วม (Participation rate) ที่สูงถึง 200% ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าการถือหุ้นแบบปกติยกตัวอย่างเช่น เมื่อครบกำหนดหุ้นในตะกร้าที่ปรับตัวขึ้นน้อยที่สุดคือ 20% นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทน คือ 40% พร้อมเงินต้น  โดยจะจำกัดผลตอบแทนมากสุดที่ 100%

 อย่างไรก็ตามตราสารประเภทนี้จะมีเงื่อนไขการ Knock in หรือนักลงทุนจะไม่ได้รับผลตอบแทนถ้าราคาหุ้นที่แย่ที่สุดปรับตัวลดลงและปิดต่ำกว่าระดับ Knock in ในวันที่ครบกำหนด นักลงทุนจะได้รับหุ้นนั้นไปที่ระดับราคา ณ วันที่ลงทุนวันแรก แต่ถ้าราคาหุ้นปรับตัวลงไม่ต่ำกว่าระดับ Knock in นักลงทุนจะได้รับเงินต้นคืน 100% ซึ่งเป็นข้อที่ดีกว่าการถือหุ้นตามปกติ (ทั้งนี้ขึ้นกับผู้ออกตราสารต้องไม่เกิดการผิดนัดชำระหรือ default)

ยกตัวอย่างเช่น ระดับ Knock in 70% หมายความว่า ถ้าหุ้นที่แย่ที่สุดปรับตัวลดลงมาจากราคาวันแรกไม่เกิน 30% นักลงทุนจะไม่ได้รับหุ้นและได้เงินต้นคืนทั้ง 100% ไม่เกิดการขาดทุน แต่ถ้ามีการปรับตัวลงไปเกิน 30% และไม่สามารถปิดที่ระดับสูงกว่า Knock in ก็จะได้รับหุ้นไปแทนซึ่งกรณีนี้ก็เปรียบเหมือนไม่ต่างอะไรกับการถือหุ้นนั้นอยู่แล้ว ทั้งนี้ตราสารหนี้ที่มีอนุพันธ์แฝงเป็นตราสารที่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงสูงที่นักลงทุนต้องศึกษาทำความเข้าใจเงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ติดต่อสอบถามเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและเฟ้นหาการลงทุนที่เหมาะสมได้ที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่าน