‘ทองคำ’ ตัวช่วยเสริมพอร์ตฝ่าความไม่แน่นอนที่ลงทุนได้ง่ายขึ้นผ่าน ETF 

‘ทองคำ’ ตัวช่วยเสริมพอร์ตฝ่าความไม่แน่นอนที่ลงทุนได้ง่ายขึ้นผ่าน ETF 

เข้าสู่ปีใหม่ 2566 แล้ว StashAway อยากชวนคุณมาเช็กความพร้อมว่าพอร์ตของคุณพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนหรือยัง เพราะในปีที่ผ่านมาโลกการเงินมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย 

ทั้งภาวะอัตราเงินเฟ้อสูง การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทั้งเร็วและแรงยังทำให้นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มองว่ามีโอกาสสูงที่จะเกิด Recession ได้ในปีนี้

ดังนั้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนการจัดพอร์ตลงทุนสำหรับเป้าหมายในระยะยาว “ทองคำ” ถือเป็นสินทรัพย์พื้นฐานสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

 

   

แม้หลายคนอาจมองว่า  “ทองคำ” ไม่น่าสนใจเพราะเป็นการลงทุนที่ไม่มีทั้งปันผลและไม่ได้สร้างผลตอบแทนจากกำไรเหมือนกับหุ้น แต่  “ทองคำ” ยังมีบทบาทสำคัญในการ จัด Asset Allocation คือการช่วยสร้างสมดุลและลดความผันผวนให้กับพอร์ตโดยรวมโดยเฉพาะหากเกิด Recession ขึ้น

ในกรณีแรก “ทองคำ” ช่วยลดผลกระทบจากการอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐ สำหรับพอร์ตที่กระจายการลงทุนไปทั่วโลก การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ อาจกระทบต่อผลตอบแทนของคุณ 

เพราะเมื่อปริมาณเงินดอลลาร์ฯ สูงจนเกิดภาวะล้นตลาดหรือ Oversupply เงินดอลลาร์ฯ จะอ่อนค่าลงอย่างมาก ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกและนักลงทุนมักเทขายเงินดอลลาร์ฯ เพื่อรักษามูลค่าสินทรัพย์ที่อยู่ในประเทศของตนเองและหันไปซื้อทองคำแทน ซึ่ง Demand ที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนี้ยิ่งทำให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นด้วย

โดยสถานการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นหลังจากวิกฤตการเงินโลกปี 2551 ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ออกมาตรการ QE หรือการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ซึ่งทำให้ดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงมากกว่า 20% จากปี 2554 ขณะเดียวกันราคาทองคำกลับเพิ่มขึ้นเกือบ 100% จนถึงปี 2555

กรณีถัดมาด้วยสถานการณ์โลกปัจจุบันยังมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น “ทองคำ” จึงเป็น Safe-haven ของนักลงทุนเมื่อเกิดความไม่แน่นอนทางการเมือง

โดยตั้งแต่เกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน และ Brexit หลายสถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น Hedge Fund และธนาคารกลางเริ่มสะสมทองคำเพิ่มขึ้นเพื่อสร้างสมดุลและความมั่นคง เช่น ธนาคารกลางของจีน (PBOC) เริ่มสะสมทองคำมากกว่า 100 ตันในช่วงสงครามการค้าปี 2562

นอกจากนี้  “ทองคำ” ยังเป็นตัวช่วยเพิ่มการปกป้องให้กับพอร์ตในช่วงวิกฤตการเงินได้อีกด้วย ดูได้จากการที่ “ทองคำ”  มีค่า Correlation หรือค่าความสัมพันธ์ที่ต่ำ เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้น โดยราคาทองคำจะเคลื่อนไหวตามหุ้นไม่มากนัก ที่สำคัญ คือ เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ (ต่ำกว่า 2 Standard Deviations) ราคาทองคำมักมีค่า Correlation ที่เป็นลบในระดับสูงกับตลาดหุ้น (S&P 500) หรือกล่าวได้ว่า ราคาทองคำมักจะปรับตัวสูงขึ้นมากเมื่อตลาดหุ้นร่วงอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าทองคำสามารถช่วยปกป้องพอร์ตได้

ในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงิน  “ทองคำ”  มีแนวโน้มทำผลตอบแทนได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้นกู้ และอสังหาริมทรัพย์ เช่นในช่วงวิกฤต Subprime ปี 2551 ที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ลดลงอย่างมาก ขณะที่ผลกระทบจากวิกฤตยังทำให้ราคาหุ้นกู้ลดลง ทำให้นักลงทุนเทขายและหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe-haven) ที่เราคุ้นเคยกันดีอย่าง ‘ทองคำ’

ดังนั้นการทำ Asset Allocation ให้มีสัดส่วนของทองคำที่เหมาะสมจะช่วยบริหารความเสี่ยงให้พอร์ตของคุณพร้อมรับมือกับเหตุการณ์ร้ายแรง หรือสถานการณ์ไม่คาดคิดที่อาจเกิดขึ้นในปี 2566 และในอนาคตได้

ปัจจุบัน เราสามารถกระจายการลงทุนในทองคำได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การไปซื้อทองคำที่ร้านทอง ซื้อผ่านกองทุนรวม และกองทุนดัชนีที่เป็นที่นิยมทั่วโลกอย่าง ETF (Exchange-Traded Funds) ซึ่งจุดเด่นของ ETF ทองคำ คือ

● มีสภาพคล่องสูงเพราะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น

● มีส่วนต่างของราคาซื้อ-ขายน้อยกว่าการซื้อทองคำแท่งและทองรูปพรรณ และมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป

● อ้างอิงจากราคาทองคำโลก เพราะราคาทองคำแท่งและทองรูปพรรณอาจแตกต่างกับไปในแต่ละภูมิภาค

● ไม่ต้องกัลวลเรื่องคุณภาพและความบริสุทธิ์ โดย ETF จะรักษามาตรฐานและถือทองคำที่ความบริสุทธิ์ 99.5%

● ไม่ต้องกลัวการถูกโจรกรรมจากการเก็บทองคำแท่งและทองรูปพรรณ

 

       ทั้งนี้ ETF ทองคำยังมีให้เลือกกว่า 30 ตัวทั่วโลก โดยที่ StashAway ทีมงานผู้เชี่ยวชาญจะคอยคัดสรร ETF ที่ดีที่สุดให้นักลงทุน ปัจจุบันเราลงทุนใน SPDR Gold Shares (GLD) ซึ่งเป็น ETF ทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ* (ราว 1.8 ล้านล้านบาท) มีสภาพคล่องสูง และมีค่าธรรมเนียมต่ำ โดย GLD มีการซื้อทองคำแท่งเก็บไว้ในตู้นิรภัยของบัญชีผู้รับฝากทรัพย์สินธนาคาร HSBC ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ

สำหรับที่ StashAway คุณสามารถลงทุน ETF ทองคำได้ผ่านแอปพลิเคชันโดยไม่มีขั้นต่ำ ไม่มีค่าธรรมเนียมยิบย่อย โดยพอร์ตการลงทุนที่บริหารโดย StashAway จะเน้นการบริหาร Asset Allocation อย่างเป็นระบบ 

ซึ่งเราได้จัดสรร  “ทองคำ”ไว้ในสัดส่วนที่เหมาะสมแล้ว หากคุณอยากเพิ่ม-ลดสัดส่วนการลงทุนหรือสร้างพอร์ตลงทุนเฉพาะ ETF ทองคำ ก็สามารถทำได้ใน Flexible Portfolio ซึ่งเป็นพอร์ตที่ให้คุณ Customise ได้ตามที่ต้องการ

สุดท้ายนี้ สำหรับพอร์ตการลงทุนโดยรวม การจัด Asset Allocation ที่มีสัดส่วนทองคำที่เหมาะสม จะช่วยลดผลกระทบจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ช่วยให้นักลงทุนก้าวข้ามความผันผวนในระยะสั้นและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนของพอร์ตได้ในระยะยาวได้

 

*อัตราแลกเปลี่ยนที่ 33.59 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

 หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุน