‘เงินบาท’ เปิดตลาดแข็งค่าที่ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ หวังเฟดชะลอขึ้นดบ.

‘เงินบาท’ เปิดตลาดแข็งค่าที่ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ หวังเฟดชะลอขึ้นดบ.

“กรุงไทย” ชี้เงินบาทกลับมาแข็งค่าแต่ไม่มาก หลังราคาทองคำรีบาวด์ขึ้น ลดแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ขณะที่ตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง หวังเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย มองกรอบวันนี้ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ (24 ม.ค.) ที่ระดับ 32.73 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.76 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.60-32.85 บาทต่อดอลลาร์ 

สำหรับ แนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า การรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำช่วยลดแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทำให้ในช่วงเมื่อคืนที่ผ่านมา เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก 

อย่างไรก็ดี ในวันนี้ เราประเมินว่า แรงกดดันเงินบาทในฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่บ้าง ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป โดยหากดัชนี PMI ในฝั่งยุโรปออกมาดีกว่าคาดสวนทางกับรายงานดัชนี PMI ฝั่งสหรัฐฯ ที่ออกมาแย่กว่าคาด ในกรณีดังกล่าว เงินดอลลาร์ก็อาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้าง ทั้งนี้ หากเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น เรายังคงมองแนวรับสำคัญในช่วง 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนต่างก็รอทยอยซื้อเงินดอลลาร์และทยอยขายทำกำไร Short USDTHB

ความหวังของผู้เล่นในตลาดว่า เฟด จะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยยังคงเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่ต่างปรับตัวขึ้นแรง (Tesla +7.7%, Nvidia +7.6%, Apple +2.4%) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +2.01% ส่วน ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.19% ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ อย่าง Microsoft, Tesla, ASML ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสพลิกกลับมาย่อตัวลงได้ หากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ออกมาแย่กว่าคาด

 

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกว่า +0.52% หนุนโดยความหวังว่าเศรษฐกิจยุโรปอาจไม่ได้เผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่รุนแรงอย่างที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า หลังจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยุโรปในช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่ออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ภาพเศรษฐกิจยุโรปยังได้แรงหนุนจากการเปิดประเทศของจีน ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นปัจจัยช่วยให้หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมต่างปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นยุโรปยังคงเป็นแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) หลังประธาน ECB รวมถึงเจ้าหน้าที่ ECB ท่านอื่นๆ ต่างก็ออกมาสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย จนกว่า ECB จะสามารถคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จ

 

ในส่วนของตลาดบอนด์นั้น แม้ว่าผู้เล่นในตลาดจะมั่นใจว่า เฟดอาจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลงใกล้ระดับ 3.30% แต่ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม ก็ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มขายทำกำไรการถือครองบอนด์ระยะยาวออกมาบ้าง ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 3.51% อีกครั้ง ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวมีแนวโน้มปรับตัวลงชัดเจน ตามการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลักที่จะลดความเข้มงวดลง แต่นักลงทุนก็ควรรอจังหวะให้บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น เพื่อทยอยเพิ่มสถานะการลงทุน (Buy on Dip) มากกว่าที่จะไล่ซื้อในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลง

 

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุด ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นกลับสู่ระดับ 102 จุด อีกครั้ง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งกดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น(JPY) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 130 เยนต่อดอลลาร์ ส่วนค่าเงินยูโร (EUR) แม้ว่าจะปรับตัวแข็งค่าขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือนที่ 1.091 ดอลลาร์ต่อยูโร ตามแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ ECB แต่ทว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มทยอยขายทำกำไรสถานะ Long EUR ทำให้เงินยูโรย่อตัวลงมาสู่ระดับ 1.087 ดอลลาร์ต่อยูโร อย่างไรก็ดี แม้ว่า เงินดอลลาร์รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวสูงขึ้น ทว่า ความเชื่อมั่นของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่าเฟดจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยอย่างแน่นอน ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซนแนวรับ สู่ระดับ 1,930 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง ซึ่งเรามองว่า การปรับตัวขึ้นใกล้โซนแนวต้านดังกล่าวของราคาทองคำ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยให้เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าไปมาก ตามการรีบาวด์ของเงินดอลลาร์

 

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจหลักผ่านรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Global Manufacturing & Services PMIs) โดยในฝั่งสหรัฐฯ ตลาดประเมินว่า ภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งและตึงตัวจะช่วยหนุนการใช้จ่ายในภาคการบริการ ซึ่งจะสะท้อนผ่านดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (S&P Global Services PMI) ในเดือนมกราคมที่จะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 45 จุด

 

ส่วนในฝั่งยุโรป ตลาดมองว่า ดัชนี PMI ภาคการบริการของยูโรโซน ในเดือนมกราคม อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.2 จุด อย่างไรก็ดี ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงอาจกระทบต่อภาคการผลิตอุตสาหกรรมของยูโรโซนทำให้ ดัชนี PMI ในภาคการผลิตอาจอยู่ที่ระดับ 48 จุด สะท้อนภาวะหดตัวต่อเนื่องในภาคการผลิตอุตสาหกรรม

 

นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงิน ECB รวมถึงรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ทั้งในฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป อาทิ Microsoft, 3M เป็นต้น