ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ผลการเลือกตั้งกลางเทอม เลี่ยงภาวะถดถอยสหรัฐ ยาก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ผลการเลือกตั้งกลางเทอม เลี่ยงภาวะถดถอยสหรัฐ ยาก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ผลการเลือกตั้ง คงไม่เปลี่ยนสภาพเศรษฐกิจสหรัฐ ในระยะสั้นที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟด คาดปี 2566 เศรษฐกิจสหรัฐ คงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค

      ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐ เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2565 ที่ผ่านมานั้น ผลการนับคะแนนในเบื้องต้นพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มสูงที่จะครองสภาผู้แทนราษฎร 

       ในขณะที่วุฒิสภายังมีคะแนนสูสี และแม้ว่าผลการเลือกตั้งกลางเทอมอย่างเป็นทางการหลังวันที่ 6 ธ.ค. 2565 จะออกมาว่าพรรคเดโมแครตจะยังได้ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้หรือไม่ จากผลคะแนนตัดสินที่เหลืออีก 4 ที่นั่ง (ผลการนับคะแนน ณ วันที่ 10 พ.ย. 2565 ทั้ง 2 พรรคมีคะแนนเท่ากันที่ 48:48)

        แต่การที่พรรคเดโมแครตสูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งกลางเทอมครั้งนี้ ส่งผลต่อการบริหารงานของนายโจ ไบเดนในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยการผ่านร่างกฎหมายหลังจากนี้ไม่ง่าย รัฐบาลใช้จ่าย และก่อหนี้ได้อย่างจำกัด 

      แนวนโยบายของพรรครีพับลิกันจะเป็นอุปสรรคสำคัญขัดขวางการใช้จ่าย และการก่อหนี้ที่รัฐบาลพรรคเดโมแครตใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐ ให้ฟื้นกลับมา และเรียกคะแนนนิยมสำหรับการเลือกตั้งสมัยถัดไปจึงนับเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมาก

       ผลคะแนนเสียงของพรรครีพับลิกันที่ชนะไม่ขาดในสภาผู้แทนราษฎร และคะแนนเสียงในสภาสูงของพรรคเดโมแครตก็สูสีจึงเป็นอุปสรรคในการผ่านร่างกฎหมายสำคัญของทั้งสองพรรค 

      แม้พรรครีพับลิกันจะสามารถผลักดันกฎหมายผ่านสภาผู้แทนราษฎร และเจรจาต่อรองจนวุฒิสภาโหวตให้ 

      แต่ในท้ายที่สุดด้วยกลไกทางการเมืองสหรัฐ เปิดทางให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีสิทธิคว่ำหรือใช้สิทธิยับยั้ง (Veto) ร่างกฎหมายของอีกฝ่ายได้ และถ้าหากสภายังยืนยันจะผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวให้ได้จะต้องมีเสียงสนับสนุนจากทั้งสองสภาถึง 2 ใน 3 ซึ่งภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันไม่น่าจะเป็นไปได้ ขณะที่ในฝั่งเดโมแครตแม้ครองสภาสูงได้สำเร็จแต่ในทางปฏิบัติ ร่างกฎหมายที่นำเสนอต่อสภาคงถูกพรรครีพับลิกันขัดขวางตั้งแต่สภาล่างอยู่ดี

     • “การขยายเพดานหนี้” เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองของรีพับลิกัน เป็นโจทย์หินที่รัฐบาลต้องเตรียมแผนเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ และป้องกันรัฐบาลปิดตัว (Government shutdown) ด้วยแผนการใช้จ่ายที่ผ่านมาโดยเฉพาะ Inflation Reduction Act ที่เป็นวงเงินขนาดใหญ่ รวมถึงรายจ่ายที่อยู่ในแผนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ทำให้ยอดการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยมา ยอดหนี้คงค้างสาธารณะเริ่มเข้าใกล้เพดานปัจจุบันที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ ในช่วงต้นปี 2566 

       ขณะที่จุดยืนการใช้จ่ายงบประมาณที่ต่างกันอย่างมากของทั้งสองพรรคการเมืองทำให้รัฐบาลอาจต้องใช้เวลายาวนานในการต่อรองขอขยายเพดานหนี้ จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเลยกำหนดเวลาการขยายหนี้ ส่งผลต่อการดำเนินงานของภาครัฐที่ต้องหยุดชะงักเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ตาม ในรอบนี้คงใช้เวลาไม่นานเพราะทั้งสองฝ่ายคงไม่อยากเสียคะแนนนิยมจากฐานเสียงข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ต้องได้รับผลกระทบดังกล่าว 

      ในท้ายที่สุดรัฐบาลคงต้องยอมปรับลดรายจ่ายบางรายการเพื่อให้เพดานหนี้อยู่ในกรอบที่พรรครีพับลิกันจำกัดไว้

      • คะแนนนิยมจากประชาชนชาวอเมริกันเป็นตัวกำหนดเส้นทางนโยบายในช่วง 2 ปีหลังจากนี้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็เร่งผลักดันนโยบายที่จะช่วยเพิ่มคะแนนนิยมสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2567 

      โดยรีพับลิกันคงใช้แต้มต่อในสภาล่างเดินหน้าขัดขวางนโยบายของนายโจ ไบเดน บั่นทอนคะแนนนิยมของของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับมาตรการทางเศรษฐกิจ และสวัสดิการสังคม 

       อาทิ กดดันให้ปรับลดโครงการใช้จ่ายในด้านพลังงานสะอาด ลดงบประกันสังคม ลดงบด้านการศึกษา ลดเงินอุดหนุนรายการใหม่ตามแผน Inflation Reduction Act นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันยังจะเดินหน้าผลักดันแผนงานประชานิยมในประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างการเรียกร้องให้ผ่านกฎหมายปกป้องสิทธิเด็กที่จะเกิดมาโดยห้ามทำแท้งเมื่ออายุครรภ์เกิน 15 สัปดาห์ ให้เป็นเรื่องเฉพาะแต่ละรัฐที่มีความยืดหยุ่นตอบโจทย์ชาวอเมริกันมากกว่า การจำกัดจำนวนผู้อพยพสานต่อนโยบายของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ 

       รวมถึงการสร้างกำแพงสกัดการข้ามแดนผิดกฎหมายที่ชายแดนระหว่างประเทศเม็กซิโกที่รัฐบาลปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เท่าใดนัก การต่อต้านการจำกัดสิทธิครอบครองอาวุธปืน พร้อมทั้งเดินหน้าผลักดันการลดภาษีรายได้ชนชั้นกลางซึ่งเข้าถึงใจชาวอเมริกันในเวลานี้

       • นโยบายด้านความมั่นคงของสหรัฐ จะไม่เปลี่ยนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะท่าทีที่มีต่อจีนไม่เปลี่ยนไปจากเดิมความตึงเครียดระหว่างสหรัฐ กับจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จะดำเนินต่อไป ตอกย้ำแนวคิดในทิศทางเดียวกันของพรรคเดโมแครต และรีพับลิกัน 

       สำหรับงบประมาณทางการทหาร และเงินช่วยเหลือยูเครนแม้พรรครีพับลิกันจะมีแผนปรับลดงบประมาณด้านนี้แต่คงกดดันรัฐบาลเพียงในระดับที่จำเป็น โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก และคงไว้ซึ่งบทบาทของสหรัฐ ในเวทีโลกทั้งด้านการเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจ และความแข็งแกร่งทางการทหาร

       ขณะที่ผลเลือกตั้งกลางเทอมคงไม่ได้เปลี่ยนภาพทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้คงต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ เป็นหลัก ด้วยภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ ที่มีสัญญาณเติบโตชะลอลง และมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยบางไตรมาสในปี 2566 

        โดยจากถ้อยแถลงของเฟดหลังการประชุม FOMC วันที่1-2 พ.ย. ที่ผ่านมา เฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายคุมเงินเฟ้อได้สำเร็จซึ่งเฟดคงจะยังไม่พิจารณาหยุดขึ้นดอกเบี้ยในระยะอันใกล้ ส่งผลให้ตลาดปรับคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดจะไปแตะระดับสูงสุดที่ระดับเกินกว่า 5.00% ในปีหน้า และเฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับนั้นยาวนานกว่าที่เคยคาด 

      ซึ่งผลกระทบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างแข็งกร้าวของเฟดจะส่งผลให้ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจสหรัฐ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิคในปีหน้านั้นมีมากขึ้น 

       ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากพิจารณาตัวเลขทั้งปี 2566 เศรษฐกิจสหรัฐ คาดว่าจะแทบไม่ขยายตัวจากปีนี้ หรืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ที่ราว 0% ในกรณีฐาน 

      อย่างไรก็ตาม หากเงินเฟ้อไม่ลดลงตามคาด และเฟดอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงขึ้นกว่าที่คาด เศรษฐกิจสหรัฐ คงหดตัวลึกกว่าที่คาด หรือมากกว่า 2 ไตรมาส ส่งผลให้ทั้งปี 2566 เศรษฐกิจสหรัฐ อาจหดตัวลงได้ สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 

       ในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐ ไม่โต จะกดดันการส่งออกของไทยที่ต้องเผชิญกับการส่งออกฐานที่สูงในปีนี้ ทำให้คาดว่าการส่งออกไทยไปสหรัฐ จะเติบโตเชื่องช้าลงเหลือเลขหลักเดียวที่ 1.1% โดยมีมูลค่าส่งออกราว 50,000 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่สหรัฐ เป็นตลาดอันดับ 1 ของไทย และเป็นตลาดที่เติบโตดีที่สุด 

      โดยการส่งออกไทยไปสหรัฐ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ขยายตัวสูงถึง 18.9% และมีมูลค่าถึง 36,447 ล้านดอลลาร์  

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์