‘เงินบาทอ่อนค่า’ เปิดตลาดที่ 37.76 บาทต่อดอลลาร์

“กรุงไทย” ชี้ระวังเงินบาทผันผวนสูงขึ้นช่วง Press Conference ของประธานเฟด หากไม่ส่งสัญญาณชัดต่อแนวโน้มชะลอขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต หรือไม่กังวลต่อ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐมากขึ้น เงินบาทอาจพลิกอ่อนค่าลงตามการแข็งค่าขึ้นของดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ที่ 37.65 - 37.95 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ ( 2 พ.ย.) ที่ระดับ 37.76 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 37.74 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.65 - 37.95 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า แม้ว่าเงินบาทจะปรับตัวแข็งค่ามากกว่าที่เราคาดในวันก่อนหน้า จากแรงหนุนของการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ในวันก่อน รวมถึงความหวังการผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ในจีน, การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ และฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ซื้อหุ้นไทยสุทธิกว่า +6.1 พันล้านบาท
ทว่า ปัจจัยหนุนเงินบาทอาจเริ่มลดลงได้ หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มไม่มั่นใจว่า เฟดอาจชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ตามคาด หากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก
ซึ่งเรามองว่า ควรระมัดระวังความผันผวนที่อาจสูงขึ้นในช่วง Press Conference ของประธานเฟด (เราคาดว่า ตลาดไม่น่าจะตื่นเต้นกับผลการประชุมเฟดมากนัก และตลาดรับรู้ว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ย +0.75% ไปมากแล้ว) หากประธานเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงแนวโน้มการชะลออัตราการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต หรือไม่ได้แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ มากขึ้น ทำให้เงินบาทอาจพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้บ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
อนึ่ง การแข็งค่ามากกว่าคาดของเงินบาทในวันก่อนหน้า ทำให้โซนแนวรับของเงินบาทจะอยู่ที่ 37.60 - 37.70 บาทต่อดอลลาร์ ในขณะที่โซนแนวต้านของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 38.20 - 38.30 บาทต่อดอลลาร์ หากเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงทะลุระดับ 38.00 บาทต่อดอลลาร์ได้ ซึ่งเรามองว่า มีโอกาสที่เงินบาทอาจอ่อนค่าใกล้ระดับ 38.00 บาทต่อดอลลาร์ หากตลาดผันผวนสูงขึ้นตามคาดในช่วง Press Conference ของประธานเฟด
ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
ผู้เล่นในตลาดการเงินสหรัฐ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐ อย่างยอดการเปิดรับสมัครงาน (JOLTS Job Openings) ปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 10.7 ล้านตำแหน่ง สวนทางกับคาดการณ์ของตลาดที่มองว่าจะลดลงสู่ระดับ 9.85 ล้านตำแหน่ง สะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐ ที่แข็งแกร่ง และอาจทำให้เฟดไม่สามารถชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างที่ตลาดคาดหวัง ซึ่งความไม่แน่นอนว่าเฟดอาจจะชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ย รวมถึงรายงานผลประกอบการแย่กว่าคาดของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่ ยังคงกดดันให้ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าขายหุ้นกลุ่มดังกล่าว นำโดย Amazon -5.5%, Alphabet -4.3% กดดันให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq สหรัฐปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.89% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.41% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil +1.0%, Chevron +0.7%) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ หลังผู้เล่นในตลาดคาดหวังว่า ทางการจีนอาจพิจารณาผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ในช่วงต้นปีหน้า
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป เดินหน้าปรับตัวขึ้น +0.58% หนุนโดยความหวังว่าทางการจีนอาจผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID ในช่วงต้นปีหน้า ทำให้บรรดาหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่มีรายได้ส่วนใหญ่จากจีนต่างปรับตัวขึ้น อาทิ Hermes +3.0%, Kering +2.8% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นพลังงาน (Total Energies +2.5%, BP +1.4%) เช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐ ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.05% หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ล่าสุด ทั้งยอดการเปิดรับสมัครงานและดัชนี PMI ภาคการผลิต ต่างออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มไม่มั่นใจว่า เฟดจะสามารถชะลอการเร่งขึ้นดอกเบี้ยได้ หากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ ไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก ทั้งนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ระยะสั้น และระยะยาวอาจแกว่งตัว sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ มุมมองของเฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ และทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย ในช่วงการแถลงต่อสื่อมวลชน (Press Conference) ของประธานเฟด หลังประกาศผลการประชุมเฟดเดือนพฤศจิกายน
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ก่อนที่จะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นหลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) สามารถพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 111.5 จุด อีกครั้ง อนึ่ง แม้ว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังไม่กล้าอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว แต่การพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์ และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนธ.ค.) แกว่งตัวใกล้ระดับ 1,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจรอประเมินทิศทางดอกเบี้ยเฟด ก่อนที่จะมีการปรับสถานะถือครองทองคำที่ชัดเจนอีกครั้ง
สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจ และเป็นไฮไลต์สำคัญคือ การประชุม FOMC (ทราบผลการประชุมในช่วงเวลา 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย) โดยเราคาดว่า เฟดจะเร่งขึ้นดอกเบี้ย +75bps สู่ระดับ 4.00% ตามที่ตลาดได้คาดการณ์ และรับรู้ไปมากแล้ว เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐ ยังคงอยู่ในระดับสูง อีกทั้งตลาดแรงงานสหรัฐ โดยรวมยังคงตึงตัว และแข็งแกร่ง ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของเฟดจากถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference (เวลา 01.30 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ ตามเวลาในประเทศไทย) ซึ่งต้องระวังความผันผวนในตลาดการเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้น เพราะตลาดอาจปิดรับความเสี่ยง เงินดอลลาร์ และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ อาจปรับตัวขึ้น หากประธานเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าเฟดอาจพิจารณาปรับลดอัตราการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป หรือไม่ได้ส่งสัญญาณว่าบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดต่างกังวลผลกระทบจากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเศรษฐกิจมากขึ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







