โบรก ชี้ ‘บาทอ่อนค่าต่อ’ เสี่ยงฉุดฟันด์โฟลว์ไหลออกระยะสั้น

โบรก ชี้ ‘บาทอ่อนค่าต่อ’ เสี่ยงฉุดฟันด์โฟลว์ไหลออกระยะสั้น

 โบรกคาด ฟันด์โฟลว์ไหลออกตลาดหุ้นไทยระยะสั้น “บล.ยูโอบี เคย์เฮียน” คาดต่างชาติปรับพอร์ต ลดความเสี่ยง กดดัชนีครึ่งแรกเดือนต.ค.แต่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวหนุนเม็ดเงินไหลกลับเข้าหุ้นไทย "บล.กสิกรไทย"   เลือกลงทุนหุ้นรายตัว ธีมเปิดเมือง-งบไตรมาส4/65โตเด่น

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการการ และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายรอบนี้เป็นไปตามที่ตลาดและเราได้คาดไว้  แม้ว่าจะดีต่อการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แต่อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องในระยะสั้น ที่ระดับ 38.20 บาทต่อดอลลาร์ และน่าจะกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งแรกของเดือน ต.ค.  สะท้อนการปรับประมาณการณ์ศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงถดถอยมากขึ้น และการปรับประมาณการกำไรของหุ้นรายตัวที่มีความเกี่ยวงข้องกับเศรษฐกิจโลก 

ดังนั้น อาจจะยังมีแรงขายปรับพอร์ตของนักลงทุนต่างชาติได้ ในหุ้นเพิ่มที่น้ำหนักการลงทุนไปก่อนหน้า เพื่อลดความเสี่ยงขาลง เช่น พลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจโลกโดยตรง  แต่เมื่อตลาดรับรู้ข่าวลบไปหมดแล้ว หลังจากนั้นคาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยในประเทศที่ยังสนับสนุน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มองกรอบดัชนีเดือนต.ค.แนวรับ 1,580 จุดและแนวต้าน 1,620 จุด 

โบรก ชี้ ‘บาทอ่อนค่าต่อ’ เสี่ยงฉุดฟันด์โฟลว์ไหลออกระยะสั้น

อย่างไรก็ไรตามในระยะข้างหน้า 3- 6 เดือน เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อกระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ไหลเข้าตลาดหุ้นอาเซียน โดยเฉพาะหุ้นไทย ที่มีการฟื้นตัวจากปัจจัยในประเทศ ทั้งการบริโภคและท่องเที่ยว  ขณะที่เงินบาทอ่อนค่า มีทั้งเป็นบวกและลบต่อแต่ละอุตสาหกรรมแตกต่างกัน   

นายกิจพล กล่าวว่า  สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนต.ค. แนะนำว่า ต้องเลือกหุ้นรายตัว  ที่ได้ประโยชน์ เชิงบวกจากเงินบาทอ่อนค่ารอบนี้ ได้แก่ กลุ่มส่งออกอาหาร และเลี่ยงการลงทุนหุ้นที่มีผลเชิงลบ ในกลุ่มโรงไฟฟ้า จากความเสี่ยงขาดทุน ค่าเงิน ( FX Loss ) ที่อาจกดดันต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3ปี 2565 ได้  

สำหรับในช่วง 1 เดือนก่อนการประชุมกนง.รอบหน้า ยังต้องจับตามทิศทางกระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์ ) มองว่า หากฟันด์โฟลว์ต่างชาติไม่ได้ไหลออกทั้งในบอนด์และหุ้นไทย เป็นระดับ 20,000-30,000 ล้านบาท  เชื่อว่า การประชุม กนง.รอบหน้า อาจเห็นคงดอกเบี้ยหรือขึ้นดอกเบี้ยอีกแค่ 0.25% ในช่วงที่เหลือปีนี้  

อย่างไรก็ตามหากมีแรงขายต่างชาติระดับ 7,000-8,000 ล้านบาทต่อวัน น่าจะเป็นการสะท้อนทิศทางฟันด์โฟลว์ไหลออกได้ จึงน่าเป็นจุดที่ ธปท. ต้องกลับมาพิจารณาการขึ้นดอกเบี้ย

นายกรรณ์ หทัยศรัทธานักกลยุทธ์การลงทุน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า  ระยะสั้นยังเห็นการอ่อนค่าของเงินบาท  ในกรอบ 37.75-38.50 บาทต่อดอลลาร์  ทั้งนี้ การอ่อนค่าของค่าเงินบาท ว่าเป็นการอ่อนค่าคล้ายคลึงกับภูมิภาค และ ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยยังคงความแข็งแกร่ง (200,000 ล้านดอลลาร์ )

ทั้งนี้บล.กสิกรไทย เชื่อว่าเงินบาทจะคงภาพการอ่อนค่าตามทิศทางของ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (USD Index)  และคาดฟันด์โฟลว์ไหลออกในระยะสั้น ทำให้กรอบดัชนีเดือน ต.ค. เคลื่อนไหวที่แนวรับ 1,585 จุดและแนวต้าน 1,650 จุด  

สำหรับกลยุทธ์เดือน ต.ค. แนะว่า  ซื้อหุ้นรายตัว ในธีมเปิดประเทศ ( Reopening ) ที่ปรับตัวลงมา และหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการเติบโตที่ดี ในไตรมาส 4 ปี 2565 และมีความเสี่ยงขาลงจำกัด ได้แก่  AOT ,ANAN ,AWC ,BEM ,EKH ,PLANB

อย่างไรก็ตาม คงมุมมองว่าหุ้นไทยจะ Outperformed ตลาดหุ้นโลก อิงจากเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่างจากเศรษฐกิจโลก และกำไรบริษัทจดทะเบียน ไตรมาส 2 ที่ออกมาแข็งแกร่ง และ ยังคงเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีของเราที่ 1,740 จุด

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า มีโอกาสที่ดัชนีฟื้นตัวช่วงสั้น จากตลาดค่อนข้างรับข่าวกนง.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ไปแล้ว แต่ยังมีความเสี่ยงในมุมทำให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องได้ เป็นปัจจัยกดดันฟันด์โฟลว์ต่างชาติยังไหลออกได้ หรือที่เข้ายังไม่เข้าจนกว่าเงินบาทอ่อนค่าจะเริ่มนิ่ง

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัย มองว่า การประชุมกนง . ครั้งหน้า คาดขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้อีก 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยสิ้นปีนี้อยู่ที่ 1.25% ส่วนในปี 66 ยังคาดคงดอกเบี้ยทั้งปี จากเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวระดับต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดและเงินบาทอ่อนค่าเกิดจากดอลลาร์แข็งค่าเร็วกว่าปกติ ไม่ได้ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยโดยตรง 

มองกรอบดัชนีเดือนต.ค. แนวรับ 1,580 จุด และ แนวต้าน 1,610 จุด เน้นเลือกหุ้นอิงการฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ ,ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยขาขึ้น ,งบดุลแข็งแกร่ง (AOT,ADVANC,ERW,CENTEL, BBL , BLA,SAT,M,HMPRO ,CKP)