เปิดมุมมองธปท. ‘เงินบาทผันผวน’ แบงก์ชาติทำอะไร?

เปิดมุมมองธปท. ‘เงินบาทผันผวน’ แบงก์ชาติทำอะไร?

แบงก์ชาติเปิดบทความ เงินบาทผันผวน แบงก์ชาติทำอะไร ชี้บาทเคลื่อนไหลตามแรงซื้อขายของกลไกตลาด แบงก์ชาติจะเข้าดูแลเมื่อผันผวนสูงปกติเท่านั้นเพื่อซื้อเวลาให้ผู้ประกอบการได้ ชี้ทำได้ช่วงสั้นๆเพราะการฝืดตลาดเท่ากับสะสมความเสี่ยงระยะยาว

      ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ออกบทความ “เงินบาทผันผวน แบงก์ชาติทำอะไร” โดยผู้เขียนบทความ วรพร ทวีทรัพย์ไพบูลย์ ,พัชรภรณ์ โชคชัยเสรี ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน
        โดยระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเร็วไม่ว่าจะอ่อนค่าหรือแข็งค่า ก็มักมีเสียงสอบถามจากผู้นำเข้าส่งออกว่าแบงก์ชาติทำอะไรอยู่ ดูแลค่าเงินหรือเปล่า

เปิดมุมมองธปท. ‘เงินบาทผันผวน’ แบงก์ชาติทำอะไร?      

 

เพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าแบงก์ชาติมีหน้าที่ “ดูแลค่าเงินบาท” ให้มันนิ่งๆ แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนไป เพราะระบบอัตราแลกเปลี่ยนของไทยเราเปลี่ยนเป็น managed float แล้วหลังปี 1997 (ก่อนหน้านั้น เป็นแบบตรึงค่าเงินไว้กับตระกร้าสกุลเงินคู่ค้าสำคัญหรือ basket fix) 
      ค่าเงินบาทจึงสามารถเคลื่อนไหวไปตามแรงซื้อแรงขายหรือที่เรียกว่ากลไกตลาด และแบงก์ชาติจะ “ดูแล” เมื่อเกิดความผันผวนสูงผิดปกติ ที่อาจส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจเท่านั้น โดยการ “ดูแล” ของแบงก์ชาติเป็นเพียงการซื้อเวลาให้ผู้ประกอบการได้ปรับตัวและทำได้เพียงช่วงสั้นๆ เพราะการฝืนกระแสตลาดจะเป็นการสะสมความเสี่ยงที่จะก่อปัญหาในระยะยาวเช่นกัน

      ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวรับมือเรื่องค่าเงินอย่างไร เมื่อแบงก์ชาติช่วยได้เพียงบางจังหวะและในระยะสั้นเท่านั้น

     ในขณะที่ภาวะค่าเงินบาทจะมีโอกาสผันผวนขึ้นอีกในอนาคต ตามสถานการณ์เศรษฐกิจการเมืองของโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ไม่แน่นอน ซับซ้อน ยากต่อการคาดเดา  
      คำตอบคงไม่พ้น “การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน” ซึ่งปัจจุบันมีอยู่หลายเครื่องมือด้วยกัน เช่น สัญญา forward จะช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องลุ้นว่าเมื่อแปลงรายได้หรือรายจ่ายสกุลเงินตราต่างประเทศเป็นบาท แล้วจะได้เงินบาทเท่าไร เพราะได้จองราคาไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว

     หรือการทำ netting/matching รายได้รายจ่ายสกุลเงินตราต่างประเทศ เพื่อให้เกิดการหักกลบรายรับรายจ่ายสกุลเงินตราต่างประเทศกันไป เป็นต้น 
     เครื่องมือเหล่านี้จะทำให้ผู้ประกอบการ lock รายได้ รายจ่าย (ต้นทุน) ที่เป็นเงินบาทได้ จึงหมดห่วงที่จะต้องลุ้นว่าสุดท้ายรายได้รายจ่ายสกุลเงินตราต่างประเทศนั้นจะแปลงเป็นบาทได้เท่าไร และจะมีกำไรหรือขาดทุนเท่าไหร่ 
      เพราะค่าเงินเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนจึงเป็นเสมือน “วัคซีน” ที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ SMEs เพราะความผันผวนของค่าเงินบาทอาจส่งผลกระเทือนต่อฐานะของธุรกิจได้ค่อนข้างมาก
    แบงก์ชาติได้ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการได้ “เข้าใจ” ความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และสนับสนุนให้ “ใช้ได้” มาอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการต่างๆ ตั้งแต่ปี 2017 เดี๋ยววันนี้เราจะมารีวิว ดูว่าแบงก์ชาติได้ทำอะไรบ้าง เห็นผลเป็นอย่างไร ไปดูกันเลย
สารพันโครงการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
    เพื่อให้เข้าใจง่ายสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ (1) สร้างความ “เข้าใจ” (2) ทำให้ “ใช้ได้” โดยในส่วนแรก การสร้างความ“เข้าใจ” 
 แบงก์ชาติเน้นให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการผ่านช่องทางต่างๆ

   ทั้งการเข้าพบผู้ประกอบการ การจัดสัมมนา การจัดทำคู่มือ hedging infographic ต่างๆ การเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ หลายท่านอาจยังไม่ทราบว่าเว็บไซต์แบงก์ชาติ (www.bot.or.th) มีข้อมูลที่เป็น ประโยชน์รอท่านอยู่ 
      ซึ่งรวมถึงคู่มือ “ธุรกิจไทยก้าวไกล สบายใจเรื่องค่าเงิน” ที่รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับเครื่องมือบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้อย่างครบถ้วนสำหรับผู้ประกอบการที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับแนวทางการบริหารความเสี่ยงเพิ่มเติม 
      ในส่วนที่สอง การทำให้ “ใช้ได้” คือ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างที่ต้องการ ซึ่งมีโครงการเด่น ๆ เช่น
ปี 2017-2021 โครงการ Options ช่วยชาติ 
     เป็นความร่วมมือของหลายภาคส่วนทั้งภาครัฐและธนาคารพาณิชย์จับมือกันตั้งแต่ปี 2017 ทั้งผลักทั้งดันเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs บ้านเราได้ทดลองใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่เรียกว่า ประกันค่าเงิน (Options) โดยผู้ประกอบการจะได้รับวงเงินค่าธรรมเนียม (Option premium) 
      สำหรับซื้อประกันค่าเงินกับธนาคารพาณิชย์ แถมยังได้รับความรู้ทางการเงิน โดยเฉพาะการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนผ่านการร่วมอบรมและสัมมนา เรียกว่าครบเครื่องทั้งความรู้และได้ทดลองใช้เครื่องมือการบริหารความเสี่ยงอีกด้วย

     ซึ่งโครงการนี้ก็ต่อขยายมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เปิดตัว phase 1 ในปี 2017 จนมาถึง phase 3 ซึ่งจบไปเมื่อปีที่แล้วนี้เอง
      การเปิดเผยราคาเครื่องมือบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน 
ตั้งแต่ปี 2019 มีการเผยแพร่ forward point รายธนาคารเพื่อให้ผู้ประกอบการใช้เป็น indicative rate

     สำหรับเปรียบเทียบราคาในการบริหารความเสี่ยงเบื้องต้น และกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันระหว่างธนาคารมากขึ้น นอกจากนี้ท่านที่สนใจใช้บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit : FCD) สามารถเช็คอัตราค่าธรรมเนียมและเงื่อนไขบัญชี FCD

      รวมถึงรายชื่อธนาคารที่ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนภายในธนาคารเดียวกันจากเว็บไซต์แบงก์ชาติได้อีกด้วย
      การปรับปรุงเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงินภายใต้โครงการระบบนิเวศอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ (New FX ecosystem)
ทำให้ผู้ประกอบการ (1) ใช้บัญชี FCD ได้เสรี ไม่จำกัดยอดคงค้าง ซื้อฝาก โอนในประเทศเสรี (2) บริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้ตามความเสี่ยงที่มี ไม่จำกัดเฉพาะผู้นำเข้าส่งออกเท่านั้น 

     (3) ไม่ต้องแสดงเอกสารหลักฐานในการ hedge หากเป็นลูกค้าที่ธนาคารรู้จักเป็นอย่างดี หรือ Know Your Business (KYB) นอกจากนี้ ยังได้มีการผ่อนคลายเกณฑ์การทำธุรกรรมของนิติบุคคลต่างชาติ (Non-resident: NR) ที่มาทำธุรกรรมในไทยภายใต้โครงการ Non-resident qualified company (NRQC) ให้ทำธุรกรรมได้คล่องตัวขึ้น ซึ่งช่วยให้ตลาดเงินตราต่างประเทศบ้านเรามีสภาพคล่องมากขึ้น 
      ผลจากการสนับสนุนให้ภาคธุรกิจบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมาต่อเนื่อง 
      จากที่แบงก์ชาติได้ผลักดันนโยบายต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาอย่างต่อเนื่องนั้น ปัจจุบันก็เริ่มเห็นผลมากขึ้นในหลายด้าน ทั้งผู้ประกอบการไทยรู้จักคุ้นเคยกับการใช้บัญชี  FCD มากขึ้น ดูได้จากสัดส่วนการใช้บัญชี FCD ช่วงปี 2018 ถึงเดือนมิถุนายน 2022 ที่มีแนวโน้มเพิ่ม ขึ้นในแต่ละปี 

     ขณะเดียวกันต้นทุนการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงของ SMEsก็ลดลง สะท้อนจากการเปลี่ยนแปลงการกระจายตัวของส่วนต่างของ forward point ที่ระยะ 3 เดือนที่ธนาคารคิดจากผู้ส่งออก เทียบกับที่ธนาคารทำในตลาดเงินตราต่างประเทศ (Interbank) ของช่วงปี 2017 กับช่วงปี 2021 ถึงเดือนมีนาคม 2022 พบว่า ส่วนต่าง forward point ของ SMEs ปรับลดลงมาอยู่ใกล้เคียงกับของผู้ประกอบการรายใหญ่มากขึ้น 

     ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากนโยบายของแบงก์ชาติที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงสร้างตลาดเป็นสำคัญ ทั้งจากการเพิ่มผู้เล่นผ่านโครงการ NRQC ที่ทำให้สภาพคล่องในตลาดเงินตราต่างประเทศดีขึ้น

     และจากการเพิ่มการแข่งขันระหว่างธนาคาร ผ่านการเผยแพร่ข้อมูล forward point บนหน้าเว็บไซต์ของแบงก์ชาติเอง ก็ช่วยให้ผู้ประกอบการมีข้อมูลในการต่อรองมากขึ้น

     นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรายใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายเล็ก สามารถเข้าถึงธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้ง่ายขึ้น และมีจำนวนเยอะขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต

      ซึ่งผลจากการทำนโยบายเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่จะบอกได้ว่า นโยบายที่ทำนั้นมาถูกทาง สามารถช่วยผู้ประกอบการไทยได้ และควรค่าแก่การทำต่อไป
       ความพยายามในการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการดูแลตัวเองเรื่องค่าเงิน ที่ทำมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการสนใจป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น

      อย่างไรก็ดี พบว่า ผู้ประกอบการขนาดเล็กยังมีสัดส่วนการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่น้อยกว่าเทียบกับผู้ประกอบการรายใหญ่
     ส่วนหนึ่งอาจเพราะอยากมีโอกาสได้กำไรเพิ่มหากคาดการณ์ค่าเงินบาทถูกทาง ติดปัญหาการเข้าถึงธนาคาร หรือเชื่อว่าแบงก์ชาติคอยดูแลค่าเงินบาทอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นโจทย์ที่แบงก์ชาติต้องหาทาง crack ต่อไป

      ควบคู่ไปกับสื่อสารให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันเพื่อปรับพฤติกรรมและสร้างวินัยในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
สุดท้ายนี้ หากเราเปรียบพิษภัยจากค่าเงินบาทเป็นเหมือนโควิด 19 การบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนจะเป็นเสมือนวัคซีนป้องกันโรค ที่ช่วยบรรเทาผลกระทบได้มากกว่าคนที่ไม่ฉีดวัคซีนเลย

      เปิดมุมมองธปท. ‘เงินบาทผันผวน’ แบงก์ชาติทำอะไร?  ในระยะต่อไปคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องอยู่กับความผันผวนที่สูงขึ้นและนานขึ้น 
    เปรียบเหมือนโรคที่พัฒนาสายพันธุ์ให้แกร่งขึ้น เสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวม จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากหน่วยเศรษฐกิจแต่ละหน่วยยังไม่แข็งแรง

     ดังนั้น จึงขอเชิญชวนโดยเฉพาะผู้ประกอบการได้สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองห่างไกลจากผลกระทบค่าเงิน ด้วยการรับวัคซีนการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนกันเสียแต่วันนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันแบบมวลรวมให้แก่เศรษฐกิจไทยสืบไป