เปิด 5 อันดับ กองทุน ETF ผลตอบแทนพุ่งสูงสุด "ออมหุ้น" ช่วงตลาดปรับฐาน

เปิด 5 อันดับ กองทุน ETF ผลตอบแทนพุ่งสูงสุด  "ออมหุ้น"  ช่วงตลาดปรับฐาน

"มอร์นิ่งสตาร์" เผย 5 กองทุน ETF ผลตอบแทนพุ่งสูงสุด ตั้งแต่ต้นปีนี้ "หุ้นพลังงาน" นำโด่ง "กองทุน KTAM SET Energy ETF Tracker (ENY)" ชูยีลด์ 8.58% "บล.บัวหลวง" แนะ "ผู้ลงทุนมือใหม่" ใช้จังหวะตลาดปรับฐาน “ออมหุ้น” ผ่าน DR-ETF สร้างผลตอบแทนระยะยาว

ในช่วงที่ "ตลาดหุ้นทั่วโลก" กำลังปรับฐาน จากความวิตกกังวลในหลากหลายปัจจัย เช่น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และประเทศอื่น ๆ, อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น และความกังวลภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย

หากนักลงทุนมือใหม่ และต้องการใช้โอกาสนี้ ในการเริ่มต้น “ออมหุ้น” เพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะยาว  สินทรัพย์เพื่อการลงทุน อย่าง “กองทุนรวม ที่มีนโยบายการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนเป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีอ้างอิง หรือ  ETF (Exchange Traded Fund)" และ "ตราสารแสดงสิทธิในหลักทรัพย์ต่างประเทศ (DR)" 

ในเวลานี้ "นักวิเคราะห์การลงทุนและผู้จัดการกองทุน" แนะนำว่า น่าจะเหมาะสำหรับการเริ่มต้นลงทุนในระยะยาว ตอนนี้ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน ก่อนที่ราคาสินทรัพย์จะปรับตัวขึ้น เมื่อตลาดฟื้นตัว

 

เปิด 5 อันดับ กองทุน ETF ผลตอบแทนพุ่งสูงสุด  \"ออมหุ้น\"  ช่วงตลาดปรับฐาน

 

ข้อมูลจาก "มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย)  ณ 16 ก.ย. 2565 พบว่า  "กองทุน ETF"  มีผลตอบแทน (YTD) สูงสุด 5 อันดับ ดังนี้ 

  1. กองทุนเปิด KTAM SET Energy ETF Tracker (ENY) ผลตอบแทน 8.58%
  2. กองทุนเปิด MTrack Energy ETF (ENGY) ผลตอบแทน 7.61%
  3. กองทุนเปิด BCAP MSCI THAILAND ETF (BMSCITH) ผลตอบแทน 4.08%
  4. กองทุนเปิด ThaiDEX SET High Dividend ETF (1DIV) ผลตอบแทน 3.21%
  5. กองทุนเปิด KTAM SET Banking ETF Tracker (EBANK) ผลตอบแทน 3.20%


 

 

 

 

ส่วน บล.บัวหลวง แนะนำ กองทุนรวม ETF ที่ผู้ลงทุนมือใหม่ ควรเริ่มมีติดพอร์ต ในช่วงตลาดหุ้นปรับฐาน  คือ กองทุนรวม ETF  ที่ลงทุนในหุ้นไทย อย่างการลงทุนใน “กองทุนเปิด BCAP SET100 ETF” หรือ BSET100

กองทุนดังกล่าวมีนโยบายการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องการซื้อขายสูง 100 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทย เหมาะสำหรับผู้ลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวที่ต้องการผลตอบแทนใกล้เคียงผลตอบแทนของ SET100 โดยในช่วง10 ปี ที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี อีกทั้งยังแนะนำ

4 DR ที่อ้างอิงกองทุน ETF ในต่างประเทศ ดังนี้ 

1. DR “E1VFVN3001” ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นกองทุนรวม ETF อ้างอิงดัชนี VN30 สะท้อนหุ้นชั้นนำ 30 บริษัทขนาดใหญ่สภาพคล่องสูงในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ที่บล.บัวหลวงเป็นผู้ออกเจ้าแรกของไทยเมื่อปลายปี 2561 เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศเวียดนามยังคงเติบโตแข็งแกร่ง โดยในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565  GDP ขยายตัวกว่า 7% และคาดการณ์ว่าในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า GDP เวียดนามจะเติบโตประมาณ 6-7% จากเม็ดเงินลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment) ที่ไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่องทำให้การส่งออกเติบโตแบบก้าวกระโดด

2. DR “DIAMOND” ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ “FUEVFVND01” ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็น DCVFMVN DIAMOND ETF (FUEVFVND) ที่ลงทุนอ้างอิงดัชนี VN DIAMOND ของตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม โดยมีความแตกต่างจากดัชนี VN30 คือ เกณฑ์ในการปรับหุ้นเข้าดัชนี VN DIAMOND จะเป็นหุ้นที่อัตราส่วน Foreign Ownership Limitation (FOL) อย่างน้อย 95% นั่นหมายถึงหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจและถือในสัดส่วนมาก ขณะที่ดัชนี VN30 ไม่มีการกำหนด ซึ่งมูลค่าตลาดของหุ้นที่ซ้ำกันในดัชนี VN30 และ VN DIAMOND มีสัดส่วนเพียง 27% จึงเหมาะสำหรับลงทุนควบคู่เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามย้อนหลัง 10 ปีเฉลี่ยอยู่ที่ราว 18% ต่อปี 

3. DR “CNTECH01” อ้างอิง ChinaAMC Hang Seng TECH ETF (3088.HK) ที่ลงทุนหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกของจีนและฮ่องกงกว่า 30 บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยหุ้นในดัชนี Hang Seng TECH   ส่วนใหญ่เป็นหุ้นเทคโนโลยีที่เติบโตไปกับธีม New Economy ซึ่งเป็นที่รู้จักในระดับสากล เช่น หุ้นกลุ่ม ATMX ที่ประกอบไปด้วย Alibaba, Tencent, Meituan และ Xiaomi เป็นต้น เหตุผลที่แนะนำทยอยสะสมในช่วงนี้เนื่องจากราคาหุ้นเทคโนโลยีของจีนได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยอนาคตยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี ซึ่งสนับสนุนโดยนโยบายภาครัฐจีนจากเดิมที่เข้มงวดเรื่องการเติบโตเศรษฐกิจที่เสมอภาค   

4. DR “NDX01” มีหลักทรัพย์อ้างอิงเป็นกองทุนอีทีเอฟ ChinaAMC NASDAQ 100 ที่ลงทุนในดัชนี NASDAQ 100 ประกอบด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับโลก 100 บริษัทแรกในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ สหรัฐอเมริกา ซึ่งยังคงเป็นหุ้นใน Mega trend การเปลี่ยนแปลงธุรกิจของโลกในทศวรรษหน้า โดยปัจจุบันดัชนี Nasdaq 100 ได้ปรับตัวลดลงมากว่า 23.72% นับตั้งแต่ต้นปี 2565 (ข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.ย. 2565) ในขณะที่ Bloomberg Consensus คาดว่า  กำไรต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังเติบโตได้ประมาณ 18.3% ในปี 2565 โดยผลตอบแทนของดัชนี NASDAQ 100 ย้อนหลัง 10 ปีเฉลี่ยอยู่ที่ราว 16% ต่อปี 

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า การออมหุ้นเพื่อสร้างผลตอบแทนทบต้น ด้วย DR และ ETF ในภาวะตลาดขาลงจะทำให้ผู้ลงทุนได้จำนวนหน่วยที่มากขึ้นเมื่อตลาดปรับตัวขึ้น ซึ่งจำนวนหน่วยที่มากขึ้นก็จะสร้างผลตอบแทนที่มากขึ้นเช่นกัน