EUROPE…The Weakest Link?

EUROPE…The Weakest Link?

ปี 2020 ยุโรปได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและอัตราการเสียชีวิตที่สูงมาก มาในปีนี้ ยุโรปก็กลายเป็นภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนมากที่สุด และนำไปสู่ 3 ปัญหาหลักที่ทำให้ยุโรปกลายมาเป็นศูนย์กลางของวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน

ปัญหาแรกที่ยุโรปต้องเผชิญคือวิกฤตการขาดแคลนพลังงาน เนื่องจากการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียในระดับสูง โดยยุโรปนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียมากถึงราว 25% และ 40% ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด ดังนั้น การที่กลุ่มประเทศยูโรโซนออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ย่อมส่งผลให้ประเทศสมาชิกตกที่นั่งลำบาก เพราะแม้ว่าจะพยายามเร่งหาแหล่งพลังงานทดแทน ทั้งหันไปใช้พลังงานทางเลือก หรือนำเข้าจากประเทศอื่นๆ แต่นั่นก็ไม่สามารถทำสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ รัสเซียได้ลดการส่งออกก๊าซผ่านท่อนอร์ดสตรีม 1 ลง จากการปิดซ่อมบำรุงประจำปี จนเหลือเพียง 20% ของปริมาณที่เคยส่ง ล่าสุด บริษัทก๊าซพรอม ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานรายใหญ่ของรัสเซียประกาศระงับการส่งก๊าซไปยังยุโรปจนกว่าชาติตะวันตกจะยกเลิกการคว่ำบาตรรัสเซีย ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติในยุโรปพุ่งสูงขึ้นกว่าระดับ 200 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง (ณ วันที่ 7 กันยายน) จากระดับราว 50-60 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง

ในช่วงต้นปีก่อนเกิดเหตุการณ์รัสเซียบุกยูเครน และนักวิเคราะห์ประเมินว่าหากสถานการณ์ไม่เปลี่ยนแปลง มีโอกาสที่ราคาก๊าซจะพุ่งแตะระดับสูงได้ถึง 400 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง ทำให้เกิดความกังวลว่ายุโรปจะมีก๊าซไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ในช่วงฤดูหนาวที่จะมาถึง ส่งผลให้ประเทศสมาชิกต้องกำหนดเป้าหมายสะสมก๊าซในคลังให้ได้ถึง 80% ซึ่งปัจจุบันยังต่ำกว่าเป้าหมายมากและต้องวางแผนลดการใช้ก๊าซลง 15% เป็นเวลา 8 เดือน

และนั่นเป็นสาเหตุนำมาสู่ปัญหาที่สองคือวิกฤตเงินเฟ้อสูง นขณะที่เงินเฟ้อของสหรัฐฯ มีโอกาสจะใกล้จุดสูงสุดและค่อยๆ ชะลอตัวลง แต่เงินเฟ้อยูโรโซนยังคงทำจุดสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ 9.1% YoY ในเดือนสิงหาคม จาก 8.9% ในเดือนก่อน ปัจจัยหนุนหลักยังมาจากราคาในหมวดพลังงานที่เพิ่มขึ้น +38.3% และอาหาร +10.6%

ในระยะข้างหน้าเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นต่อท่ามกลางราคาพลังงานที่ยังสูง การอ่อนค่าของค่าเงินยูโรที่ทำให้ราคาสินค้านำเข้าแพงขึ้น ตลอดจนการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในเยอรมนี โดยทางการเยอรมนีประเมินว่าเงินเฟ้อมีโอกาสแตะระดับสองหลักในไตรมาส 4 ปีนี้

และปัญหาสุดท้ายที่จะซ้ำเติมเศรษฐกิจยุโรปที่เปราะบางอยู่แล้ว ก็คือดอกเบี้ยขาขึ้น ล่าสุดคณะกรรมการธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ออกมาพูดในเชิง Hawkish หรือขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้นนับตั้งแต่การประชุม Jackson Hole ปลายเดือนสิงหาคม โดยระบุว่าความจำเป็นในการกดเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่เป้าหมายที่ 2% นั้น มีความสำคัญมากกว่าความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ทำให้ตลาดคาดการณ์ในวงกว้างว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย Deposit rate อีกระหว่าง +0.50 - 0.75% ในการประชุมเดือนกันยายนและตุลาคมนี้

จาก 3 ปัญหาข้างต้นส่งผลโดยตรงต่อตลาดการเงิน โดยเฉพาะค่าเงินยูโร ที่อ่อนค่าลงถึง -12% ตั้งแต่ต้นปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ มาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1 ยูโร ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นระดับอ่อนค่าที่สุดในรอบ 20 ปี หรือตั้งแต่ปี 2000 ด้านราคาหุ้นยุโรป (ดัชนี EURO STOXX 50) ก็ปรับตัวลงเกือบ 20% ตั้งแต่ต้นปี (ข้อมูล ณ วันที่ 7 กันยายน)

ปัจจัยกดดันข้างต้นไม่สามารถคลี่คลายได้ในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้ยุโรปมีแนวโน้มที่จะเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่อ่อนแอ โดยจากการประเมินของ Bloomberg ยุโรปมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 1 ปีข้างหน้ามากที่สุดถึง 55% มากกว่าสหรัฐฯ ที่กำลังเป็นที่สนใจของตลาด ในขณะที่ประเทศยักษ์ใหญ่ฝั่งเอเชียอย่างจีนจะแข็งแกร่งกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเศรษฐกิจจีนมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยเพียง 20%

ในแง่การลงทุน นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในภูมิภาคยุโรป เพราะพื้นฐานที่เปราะบางกว่าที่อื่นๆ ราคาสินทรัพย์จะปรับเพิ่มขึ้นได้น้อยกว่าในตลาดขาขึ้น ขณะที่แรงกดดันในตลาดขาลงจะมากกว่า โดยเฉพาะในช่วงปลายปีที่สถานการณ์ด้านพลังงานจะมีความน่ากังวลมากขึ้น