‘ไบแนนซ์’ ชี้โลกเข้าสู่การเงินใหม่ 4 เทรนด์ ‘คริปโท’ หนุน ‘สถาบัน’ กระโดดเข้า

‘ไบแนนซ์’ ชี้โลกเข้าสู่การเงินยุคใหม่ เผย 4 เทรนด์ ‘คริปโท’ หนุน ‘สถาบัน’ กระโดดเข้าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่ม ย้ำ 'ไทย' ยังเป็นตลาดสำคัญ ยอมรับท้าทายด้านกำกับดูแล เร่งพัฒนาฟีเจอร์สู่เป้าผู้ใช้ 'พันล้านคน'
หนึ่งในสินทรัพย์การลงทุนในรอบปี 2568 ที่ภาวะตลาดมีความผันผวนค่อนข้างแรง คงต้องยกให้ “สินทรัพย์ดิจิทัล” หรือ “คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) ที่ราคาขึ้น-ลงหวือหวา ดังนั้น ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง “ไบแนนซ์” (Binance) จึงให้มุมมองต่อตลาดทริปโทยังเติบโตต่อเนื่อง บ่งชี้ผ่านปัจจุบันสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังถูกเปลี่ยนมุมมองจาก “สินทรัพย์เฉพาะกลุ่ม” กลายเป็น “กระแสหลัก” จากจุดเริ่มต้น คือการอนุมัติการจัดตั้ง “กองทุนบิตคอยน์อีทีเอฟ” ในปีที่ผ่านมา
“ริชาร์ด เทง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมของ ไบแนนซ์ดอทคอม ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงมุมมองที่ว่า โลกกำลังเดินทางเข้าสู่ “วัฏจักรโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน” สะท้อนผ่านสถาบันหลายแห่งให้การยอมรับ “ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล” เพิ่มมากขึ้นตลอดปี 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการ “จุดกระแส” ให้สถาบันการเงินต่าง ๆ เริ่มมีการจัดสรรเงินทุน และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น
“ดังจะเห็นเหล่าสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้เคลื่อนตัวเข้ามาสู่โลกสินทรัพย์ดิจิทัลขึ้นเกือบ 2 เท่าเทียบเมื่อปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าในปี 68 จากแต่ก่อนกลุ่มสถาบันมีสัดส่วนในตลาดน้อยกว่า 1% เมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20% และกราฟนี้จะยังคงเติบโตต่อไป”
สำหรับ ปัจจัยสนับสนุนตลาดทริปโท คงต้องยกให้กับ “4 เทรนด์” ที่จะเข้ามาเป็น “เครื่องยนต์สำคัญ” ในการพัฒนาอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลที่กำลังเคลื่อนตัว สิ่งแรกคือ “สเตเบิลคอยน์” จากการโอนเงินข้ามพรมแดนผ่านระบบของธนาคาร (แบงก์) ปัจจุบันใช้เวลา 2-3 วัน และมีค่าใช้จ่ายสูง แต่การใช้สเตเบิลคอยน์ทำให้ธุรกิจเสร็จสิ้นทันที และมีค่าใช้จ่ายที่ “ลดลง” ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนทั่วโลกทำได้อย่างรวดเร็ว ทั้งจาก “นักลงทุนรายย่อย” และ “บริษัทยักษ์ใหญ่” โดยในปีนี้การใช้งานสเตเบิลคอยน์เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า จำนวนวอลเล็ตเพิ่มขึ้น 50% และมูลค่าตลาดของสเตเบิลคอยน์เพิ่มขึ้น 50% เช่นกัน
“โทเคนไนซ์เซชัน” คือ การแปลงสินทรัพย์ในโลกแห่งความเป็นจริงเป็น “โทเคน” ถือเป็น “การเพิ่มสิทธิภาพ” ของสินทรัพย์ผ่านการใช้งาน บล็อกเชน ที่จะทำให้การซื้อขายสินทรัพย์เกิดขึ้นได้บนแพลตฟอร์มเดียวตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน พร้อมกับมีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ และอีกมุมที่น่าสนใจของการโทเคนไนซ์คือ ประโยชน์มหาศาลในการช่วยลดความซับซ้อนในส่วนงานหลังบ้านของธนาคารและสถาบันการเงิน เช่นการตรวจสอบบัญชี การชำระเงินโอนสินทรัพย์ ให้เสร็จสมบูรณ์ หากเราใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาช่วย เราสามารถกำจัดความยุ่งยากและขั้นตอนเหล่านั้นทั้งหมด
ถัดมาคือ “การชำระเงินด้วยคริปโท” แม้ว่าในประเทศไทยจะไม่ได้รับอนุญาติให้ใช้คริปโทเป็นตัวกลางในการชำระเงิน แต่ “ริชาร์ด”
ฉายภาพให้เห็นว่า จำนวนผู้ค้ายอมรับคริปโทเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 12,000 รายเมื่อต้นปี 2568 เป็น 21 ล้านรายในปัจจุบัน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สุดท้าย “ความชัดเจนด้านกฎระเบียบ” ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการยอมรับคริปโท เช่น การเปลี่ยนมุมมองของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐที่เป็นมิตรกับคริปโทมากขึ้น และประกาศว่าต้องการให้สหรัฐเป็นเมืองหลวงแห่งคริปโท ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางวาทกรรมที่ทำให้หลายประเทศทั่วโลกต้องปรับตำแหน่งและทบทวนจุดยืนของตนเองใหม่
แม้ว่าจะมีสัญญาณการพูดถึงภาวะ “ตลาดหมี” หรือ “ตลาดขาลง” ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยมองว่าทุกสินทรัพย์มี “วัฏจักร” และมี “ความผันผวน” ที่แตกต่างกัน โดยตลาดคริปโทเคยดำเนินไปตามวัฏจักร 4 ปีในอดีต แต่ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตได้
ทว่ามีมุมมองว่า ในช่วงตลาดหมีคือเวลาที่ดีที่สุดใน “การลงทุน” สำหรับไบแนนซ์ เช่น การสร้างฟีเจอร์ หรือพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน บวกกับการยอมรับและการใช้งาน คริปโท, สเตเบิลคอยน์ และโทเคนไนซ์เซชันที่เพิ่มขึ้น ได้กลายเป็น “จุดแข็ง” ที่ทำให้ไบแนนซ์มีผู้ใช้งานครบ 300 ล้านคนในปีนี้ และย้ำจุดยืนในการเป็นแพลตฟอร์มที่มีฟีเจอร์ที่ดีที่สุด, ปลอดภัยที่สุด และปฏิบัติตามกฎระเบียบมากที่สุดสำหรับผู้ใช้งานเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายผู้ใช้งาน 1,000 ล้านคนในอนาคต
“3 ปีนับจากนี้ คริปโทจะกลายเป็นส่วนสำคัญ ของพอร์ตการลงทุนของผู้คน และผู้คนจะพูดถึงสเตเบิลคอยน์ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินทั่วโลก”
สำหรับ “ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย” ถูกมองว่าเป็นตลาดที่มีการเติบโตสูง และเป็นหนึ่งในตลาดที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยไทยมักติดอันดับ 1 ใน 15 ของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลโลก โดยปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตนี้คือ “กำลังซื้อ” ของคนไทย โดยไทยมีรายได้ที่เหลือใช้จ่ายต่อคนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในอาเซียน ทำให้มูลค่ารวมของสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่ภายใต้การจัดการในไทย ส่วนมากจะโดดเด่นและมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ
“ริชาร์ด” ย้ำต่อว่า ตลาดคริปโทไทยเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับไบแนนซ์ สะท้อนจากการเติบโตของ “กัลฟ์ ไบแนนซ์” ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนผู้ใช้ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 7 เท่า ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่า ทำให้ไบแนนซ์ต้องทำงานใกล้ชิดกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
“เอสบี เซเกอร์” ประธานกรรมการบริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ “ไบแนนซ์” ยอมรับว่า ประเทศไทยมีการกำกับดูแลตลาดคริปโทที่ก้าวหน้ามากและเชื่อว่าก.ล.ต. จะยังคงผลักดันนโยบายที่เสริมสร้างการยอมรับสินทรัพย์ดิจิทัลต่อไป
เซเกอร์มองว่า “ความท้าทาย” หลัก ๆ ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยในแง่ของกฎระเบียบเฉพาะตัว มาจากเกณฑ์การเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล หรืออัตราส่วนทุนสำรองที่เข้มงวด ซึ่งทำให้บริษัทต่างประเทศเข้าสู่ตลาดได้ยากและอาจเป็นเหตุผลที่การยอมรับจากสถาบันในประเทศไทยช้ากว่าตลาดส่วนใหญ่ ประกอบกับความท้าทายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสกุลเงินที่อยู่ภายใต้การควบคุมอย่าง “สกุลเงินบาท” ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะที่ตลาดเกิดใหม่หลายแห่งเผชิญกับปัญหาการหมุนเวียนของสเตเบิลคอยน์ที่ผูกติดกับดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม จากกระแสที่กลุ่มมิจฉาชีพหรือ “สแกมเมอร์” ใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางใน “การฟอกเงิน” และ “ก่ออาชญากรรม” นั้น ไบแนนซ์มองว่ากิจกรรมเหล่านี้เป็น “ภัยคุกคามต่อการอยู่รอด” ของทั้งบริษัทและผู้ใช้งาน ซึ่งนำไปสู่นโยบายไม่ยอมให้เกิดการฟอกเงิน
ดังนั้น ไบแนนซ์ได้ลงทุนอย่างหนักเพื่อต่อต้านการหลอกลวงและต่อต้านการฟอกเงินทั่วโลก ตัวอย่างเช่น บริษัทใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเมื่อมีการเปลี่ยน ID อุปกรณ์ของผู้ใช้ และใช้ AI ตรวจจับพร้อมตั้งทีมการปฏิบัติตามกฎระเบียบ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในทีมที่เติบโตเร็วที่สุดในบรรดาบริษัทเทคโนโลยี
สะท้อนภาพทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทคืนเงินที่ถูกฉ้อโกงประมาณ 230 ล้านดอลลาร์, หยุดการฉ้อโกงประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์, คืนสินทรัพยืดิจิทัลที่สูญหายประมาณ 4,500 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งมีการการตอบรับกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายประมาณ 65,000 ครั้งในปีที่ผ่านมา พร้อมฝึกอบรมเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายประมาณ 15,000 คนทั่วโลก







