RWA ไม่ใช่อนาคตที่ง่าย: ไทยต้องฟันฝ่าอุปสรรคอะไรบ้างก่อนจะขึ้นเป็นผู้นำในเอเชีย

การเลือกสินทรัพย์มาทำเป็นโทเคนเป็นความท้าทาย โดยในอดีตการพยายามผลักดันสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำและประเมินมูลค่ายาก (เช่น อสังหาริมทรัพย์, ของสะสม) ไม่ประสบความสำเร็จเพราะขาดมาตรฐานและไม่สามารถจูงใจนักลงทุนสถาบันได้
KEY
POINTS
- ข้อกฎหมายไทยยังไม่รองรับการโอนกรรมสิทธิ์บนบล็อกเชนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ต้องแก้ไข
- ความไม่พร้อมทางกฎหมายทำให้เกิดระบบ “บันทึกซ้ำซ้อน” ทั้งบนบล็อกเชนและระบบดั้งเดิม ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนและต้นทุน ขัดกับเป้าหมายของเทคโนโลยี
- การเลือกสินทรัพย์มาทำเป็นโทเคนเป็นความท้าทาย โดยในอดีตการพยายามผลักดันสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำและประเมินมูลค่ายาก (เช่น อสังหาริมทรัพย์, ของสะสม) ไม่ประสบความสำเร็จเพราะขาดมาตรฐานและไม่สามารถจูงใจนักลงทุนสถาบันได้
อดีตของ RWA และเหตุผลที่ยังไม่เกิด Mass Adoption แม้แนวคิดเรื่อง Real World Assets (RWA) จะถูกพูดถึงมานานหลายปี แต่ความสำเร็จระดับ “การใช้งานในวงกว้าง” ยังไม่เกิดขึ้นจริง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมพยายามผลักดันสินทรัพย์ประเภทที่มีความซับซ้อนและสภาพคล่องต่ำให้ขึ้นบล็อกเชน ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ คอนโด บ้านเดี่ยว ไปจนถึงสินทรัพย์ส่วนบุคคล เช่น นาฬิกาหรู งานศิลปะ หรือของสะสม ซึ่งล้วนมีปัญหาเหมือนกันคือการประเมินมูลค่าที่ขาดมาตรฐานสากล ทำให้ราคาผันผวนและยากต่อการทำตลาดรองอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อกฎหมายเองก็เป็นอุปสรรคใหญ่ หลายประเทศ-including ไทย-ยังไม่รองรับการโอนกรรมสิทธิ์บนบล็อกเชนแบบสมบูรณ์ ทำให้ต้องใช้ระบบ “บันทึกซ้ำซ้อน” ทั้งบนบล็อกเชนและระบบกฎหมายแบบดั้งเดิม ความซับซ้อนนี้เพิ่มต้นทุนแทนที่จะลดลง ซึ่งขัดกับจุดประสงค์ของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ตั้งใจจะทำให้การออกและโอนสินทรัพย์เป็นเรื่องง่าย โปร่งใส และตรวจสอบได้
อีกปัจจัยหนึ่งคือการนำสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำ (Illiquid Assets) มาแปลงเป็นโทเคนไม่สามารถสร้างแรงจูงใจให้ผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด เช่น กองทุน บริษัทประกัน หรือสถาบันการเงินได้จริง เนื่องจากสินทรัพย์เหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้สภาพคล่องของพอร์ตดีขึ้น และไม่ใช่สินทรัพย์ที่ตลาดต้องการอย่างแท้จริง ดังนั้น โครงการ tokenized real estate และ lifestyle assets จึงเฟดตัวหายไปก่อนที่จะสร้างผลกระทบเชิงระบบอย่างเป็นรูปธรรม
จุดเปลี่ยนของโลก: เมื่อ RWA เริ่มเคลื่อนไปสู่สินทรัพย์คุณภาพสูง
ปี 2025-2026 ถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของ RWA อย่างแท้จริง เรากำลังเห็นการเปลี่ยนทิศทางครั้งสำคัญจากการโฟกัสไปที่สินทรัพย์ illiquid สู่การนำเสนอสินทรัพย์ที่ “ตลาดการเงินต้องการจริง” และสามารถเข้ากรอบกฎหมายได้เร็วกว่าเดิม ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือการเติบโตแบบก้าวกระโดดของ tokenized U.S. Treasuries ผ่านกองทุน BUIDL ของ BlackRock ซึ่งดึงดูดเงินลงทุนได้หลายพันล้านดอลลาร์ภายในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ สถาบันการเงินในสิงคโปร์และฮ่องกงก็เริ่มทดลองแปลงตราสารหนี้คุณภาพสูง เช่น commercial paper และ short-term debt ไปอยู่บนบล็อกเชนเพื่อลดต้นทุนหลังบ้าน เพิ่มความโปร่งใส และเปิดโอกาสให้ตราสารเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในระบบการเงินดิจิทัลรุ่นใหม่
ด้านการลงทุนแบบเศษส่วน (fractional ownership) ก็เริ่มมีรูปแบบที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดมากขึ้น เช่น การลงทุนในหุ้น Pre-IPO ของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง SpaceX หรือ Stripe แม้ผลตอบแทนจะยังไม่โดดเด่น แต่ความต้องการเข้าถึงการลงทุนระดับโลกผ่านโทเคนยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การนำสินทรัพย์คุณภาพสูงและมีความต้องการชัดเจนมาแปลงเป็นโทเคนคือสิ่งที่ทำให้อุตสาหกรรม RWA เดินหน้าได้จริง ตรงกันข้ามกับช่วงแรกที่พยายามหาตลาดให้สินทรัพย์ illiquid แต่สุดท้ายกลับไม่เกิด traction ที่แท้จริง เมื่อรวมกับการสนับสนุนจากสถาบันยักษ์ใหญ่ระดับโลก ซอฟต์แวร์ที่มีความปลอดภัยสูงขึ้น และกรอบกฎหมายที่เริ่มเป็นรูปธรรมในหลายประเทศ ภาพรวมของ RWA จึงเปลี่ยนจาก “คอนเซปต์ทดลอง” ไปเป็น “โครงสร้างพื้นฐานใหม่ของตลาดทุนโลกยุคดิจิทัล” ซึ่งอาจเติบโตสู่มูลค่าระหว่าง 10–20 ล้านล้านดอลลาร์ในทศวรรษหน้า ตามการคาดการณ์ของ Boston Consulting Group
ไทยกับโอกาสครั้งประวัติศาสตร์: จากตลาดพันธบัตรสู่ศูนย์กลาง RWA ของอาเซียน
เมื่อมองกลับมาที่ประเทศไทย จะเห็นได้ว่าปัจจัยหลายอย่างกำลังส่งสัญญาณว่าประเทศไทยมีศักยภาพโดดเด่นกว่าที่เคยในการเป็นศูนย์กลาง RWA ของภูมิภาค จุดแข็งแรกคือขนาดของตลาดพันธบัตรไทยซึ่งมีมูลค่ากว่า 15-16 ล้านล้านบาท นับเป็นหนึ่งในตลาดตราสารหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หากเพียงส่วนเล็ก ๆ ของตลาดนี้ถูกนำมาแปลงเป็นโทเคน ก็จะสร้างสภาพคล่องใหม่เข้าสู่ระบบการเงินไทยในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือโครงการ Stablecoin Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2026 ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังเปิดทางให้เกิด tokenized government bonds, wholesale stablecoin และ retail stablecoin ในระบบปิด เช่น Tourist Wallet โครงสร้างเช่นนี้ยังไม่มีในอาเซียนประเทศใดที่เดินหน้าได้เร็วเท่ากับไทย ทำให้ไทยมีโอกาสสร้างมาตรฐานและดึงดูดเม็ดเงินจากผู้เล่นระดับโลกได้ก่อน
นอกจากความพร้อมทางนโยบายแล้ว ภาคเอกชนไทยยังมีจุดแข็งสำคัญทั้งด้านเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน และฐานผู้ใช้งานที่แข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัล กลุ่มทุนขนาดใหญ่ ธนาคาร และผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถร่วมมือกันสร้างระบบนิเวศ RWA ที่ครบวงจร ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการออกโทเคนระดับภูมิภาค (Tokenized Issuance Hub) ได้ในลักษณะเดียวกับที่สิงคโปร์เคยเป็นผู้นำด้านกองทุนรวม และดูไบเป็นผู้นำด้านสินทรัพย์ดิจิทัล
เมื่อรวมปัจจัยทั้งหมดเข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่าประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเริ่มต้นของโอกาสครั้งสำคัญในการยกระดับระบบการเงินเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ RWA ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีใหม่ แต่เป็นสะพานที่เชื่อม “โลกการเงินเก่า” เข้ากับ “อนาคตเศรษฐกิจดิจิทัล” และหากประเทศไทยเดินหน้าอย่างมียุทธศาสตร์ ถูกจังหวะ และสอดคล้องกับกฎเกณฑ์สากล ไทยมีศักยภาพเต็มที่ที่จะขึ้นเป็นศูนย์กลาง RWA อันดับหนึ่งของเอเชียในอนาคตอันใกล้







