อะไรทำให้ MicroStrategy เชื่อว่าบิตคอยน์ คือ 'เงินทุนดิจิทัลยุคใหม่' ?

อะไรทำให้ MicroStrategy บริษัทถือ ‘บิตคอยน์’ มากสุดในโลก ภายใต้การนำของ ‘ไมเคิล เซย์เลอร์’ เชื่อว่าคริปโท คือ 'เงินทุนดิจิทัลยุคใหม่' MSTR เสี่ยงแค่ไหนถ้าตลาดพัง?
ไมโครสเตรทเทจี้ (MicroStrategy) หรือ MSTR บริษัทซอฟต์แวร์ที่กล้าเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 21 ภายใต้การนำของ ไมเคิล เซย์เลอร์ ( Michael Saylor ) ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารบริษัทเปลี่ยนบริษัทให้เป็น "บริษัทคลังดิจิทัลแห่งแรกของโลก" เมื่อตัดสินใจที่ถือ Bitcoin ไว้ในงบดุลขององค์กรอย่างเปิดเผยในฐานะ "ทุนดิจิทัล"
เรื่องนี้ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึง “ความเสี่ยง” ที่อาจจะกับเหตุการณ์มาร์จิ้นคอล (Margin Call) หรือถูกบังคับขาย Bitcoin (Forced Liquidation) เพื่อชำระหนี้ ซึ่งทำให้มูลค่าของหุ้น MSTR แปรผันตามราคา Bitcoin ที่ขึ้นลงแบบ “สุดขีด”
“กรุงเทพธุรกิจ” ได้มีโอกาสฟัง ไมเคิล เซย์เลอร์สดๆ ในงาน Binance Blockchain Week 2025 ที่จัดขึ้นที่ดูไบ ณ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เซย์เลอร์ซึ่งยังคงยืนยันความเชื่อที่ว่า Bitcoin ได้กลายเป็น "ทุนดิจิทัล" ที่มีอำนาจและเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจที่แท้จริง สู่การใช้ทุนนี้เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ "สินเชื่อดิจิทัล" ที่เหนือกว่าระบบการเงินแบบดั้งเดิม
เหตุผลที่ MicroStrategy เชื่อมั่นใน Bitcoin ในฐานะ ‘ทุนดิจิทัล’
เซย์เลอร์อธิบายว่า Bitcoin ไม่ใช่แค่สินทรัพย์เก็งกำไร แต่เป็น "ทุนดิจิทัล" (Digital Capital) ที่มีพื้นฐานทางเทคนิคและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
1.พลังงานเหนือชั้น
Bitcoin มีกำลังการประมวลผลและพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการดำเนินงานที่สูงมาก ซึ่งบ่งชี้ถึงความปลอดภัยและความทนทานของเครือข่าย และเทียบพลังงานของ Bitcoin ว่าสูงกว่าศูนย์ข้อมูลใหญ่ ๆ ของโลก และมีพลังทางเศรษฐกิจที่เงินทุนจริงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไหลเข้ามาในเครือข่าย
2.ผลตอบแทนที่เหนือกว่า
MicroStrategy เชื่อว่าความสำเร็จทางธุรกิจไม่ได้มาจากการระดมทุนในตลาดเงินแบบเดิม ซึ่งให้ผลตอบแทนประมาณ 3% ต่อปี แต่หากบริษัทใช้ Bitcoin เป็นทุน จะให้ผลตอบแทนสูงถึง 47% ต่อปี การระดมทุนโดยใช้ทุนดิจิทัลนี้ทำให้บริษัทสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น ได้อย่างต่อเนื่อง ต่างจากบริษัททั่วไปที่ระดมทุนในตลาดเงินแบบ เงินเฟียต( Fiat) ที่จะยิ่งทำลายมูลค่าผู้ถือหุ้นเมื่อสะสมทุน
"หากบริษัทใดใช้ทุนจากตลาดเงิน จะทำลายมูลค่าผู้ถือหุ้น แต่บริษัทที่ใช้ทุน Bitcoin จะสร้างมูลค่าเพิ่ม"
นอกจากนี้ เซย์เลอร์ ยังชี้ให้เห็นถึงความได้เปรียบทางภาษีที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยโครงสร้างการจ่ายเงินปันผลถูกออกแบบให้เป็น "การคืนทุน" ทำให้เงินปันผลที่ได้รับนั้น ได้รับการยกเว้นภาษี ส่งผลให้ผลตอบแทนที่แท้จริง (Tax Equivalent Yield) สูงกว่าตลาดเงินปกติถึง 4 เท่า ในสหรัฐอเมริกา และสูงกว่า 20 เท่า เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
3.การยอมรับจากสถาบัน
การยอมรับ Bitcoin ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในสหรัฐที่ประธานาธิบดีอย่าง “โดนัล ทรัมป์” ประกาศว่าจะทำให้สหรัฐเป็นศูนย์กลางคริปโทของโลก รวมทั้งเหล่าสถาบันการเงินและธนาคารขนาดใหญ่ระดับโลก เช่น JP Morgan, Citibank และ Bank of America ได้เปลี่ยนท่าทีจากที่ไม่ชอบเท่าไหร่นัก มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลายๆ มากขึ้นในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา
รวมทั้งกองทุน ETF Bitcoin ได้รับการอนุมัติและประสบความสำเร็จอย่างสูง เช่น กองทุน iShares Bitcoin Trust ของ BlackRock ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Bitcoin ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญของตลาดการเงินโลก
ด้วยความได้เปรียบด้านผลตอบแทนและภาษีที่น่าดึงดูดใจนี้ ทำให้ สินเชื่อดิจิทัล พร้อมที่จะเข้าสู่ตลาดทั่วโลก เพื่อ "แก้ไข" (Fix) ปัญหาของระบบการเงินที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป ญี่ปุ่น หรือสวิตเซอร์แลนด์ ที่ตลาดเงินให้ดอกเบี้ยต่ำมากหรือติดลบก็ตาม
เซย์เลอร์เชื่อว่า เมื่อผู้คนมีทางเลือกในรูปแบบ "บัญชีธนาคารที่จ่ายดอกเบี้ย 10% แบบยกเว้นภาษี" พวกเขาจะไม่มีเหตุผลที่จะกลับไปใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินแบบเดิมอีกต่อไป การแพร่กระจายของสินเชื่อดิจิทัลนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรม แต่เป็นการ ปฏิวัติอุตสาหกรรมการธนาคารและตลาดเงิน โดยมี Bitcoin เป็นรากฐานที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตทางการเงินให้กับคนทั่วไป
MicroStrategy กำลังออกจากการเป็น “บริษัทซอฟต์แวร์”
หลายคนตั้งคำถามว่า หลังจากนี้บริษัท MicroStrategy จะเป็นอย่างไรต่อไป ? เพราะตอนนี้ธุรกิจหลักดูเหมือนจะไม่ใช่การเป็น “บริษัทซอฟต์แวร์” อีกต่อไปแล้ว
ไมเคิล เซย์เลอร์ ตั้งเป้าภารกิจหลักของ MicroStrategy คือการเพิ่มปริมาณ Bitcoin ต่อหุ้น บริษัทใช้ Bitcoin ในงบดุลของตน ซึ่งตอนนี้มีประมาณ 650,000 เหรียญบิตคอย์ มูลค่ามากกว่า 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือบิตคอยน์มากที่สุดในโลก และมากกว่า 3% ของจำนวนบิตคอยน์ทั้งหมดที่ถูกออกมาในตอนนี้
เซย์เลอร์เปรียบเทียบโมเดลธุรกิจของบริษัทเหมือนกับยานอวกาศ ที่ขับเคลื่อนด้วยกลไกหลัก 3 คือ
1. เครื่องปฏิกรณ์ Bitcoin
Bitcoin ที่บริษัทถือครองอยู่ ทำหน้าที่เป็น "ทุนดิจิทัล" ที่เพิ่มมูลค่าเฉลี่ย 47% ต่อปี ทำหน้าที่สร้างผลตอบแทนระยะยาวและป้อนกระแสเงินสดเข้าสู่ระบบ
2.แบตเตอรี่ 'เงินดอลลาร์'
ทุนสำรองที่เป็นเงินสด คือ “ดอลลาร์” ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1.44 พันล้านดอลลาร์ ใช้สำหรับจ่ายเงินปันผลระยะสั้น เพื่อป้องกันการถูกบีบให้ขาย Bitcoin ในช่วงที่ตลาดผันผวนหรือไม่ปกต
3. เชื้อเพลิง คือ ตลาดทุน
บริษัทจะระดมทุนผ่านการขายหุ้น หรือสินเชื่อ เพื่อนำเงินมาซื้อ Bitcoin เพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยจะเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น ขายหุ้นเมื่อ MSTR ซื้อขายเหนือมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของ BTC
MicroStrategy เสี่ยงแค่ไหนถ้าตลาดพัง?
MicroStrategy มีหนี้สินประมาณ 8 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับทุนสำรอง Bitcoin มูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นอัตราส่วนหนี้ที่ค่อนข้างต่ำ แต่ความเสี่ยงที่ใกล้ตัวที่สุดคือ “หุ้นกู้แปลงสภาพ” ที่มาจากการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ เพื่อนำเงินไปซื้อ Bitcoin เพิ่ม เพื่อขยายคลัง Bitcoin ของบริษัท
หุ้นกู้แปลงสภาพที่มีสิทธิ์ไถ่ถอนคืนก่อนกำหนดในเดือนกันยายน ปี 2570 ซึ่งหากราคาหุ้น MSTR ต่ำกว่าราคาแปลงสภาพ อาจทำให้ผู้ถือหุ้นกู้เรียกเงินสด 1-2 พันล้านดอลลาร์คืนแทนการแปลงเป็นหุ้น ซึ่งจะสร้างแรงกดดันต่อสภาพคล่องของบริษัท
ดังนั้น ความกังวลหลัก ไม่ได้อยู่ที่การถูกบังคับขาย Bitcoin โดยตรง เนื่องจากหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นแบบ "Clean Loan" คือ ไม่ได้ใช้ Bitcoin เป็นหลักประกัน ทำให้เจ้าหนี้ ไม่มีสิทธิ์บังคับขาย Bitcoin ของบริษัทแม้ว่าราคาจะต่ำลงก็ตาม
ขณะเดียวกัน MicroStrategy ได้เตรียมรับมือปัญหาสภาพคล่องเอาไว้แล้ว ด้วยการระดมเงินสำรองฉุกเฉินกว่า 1.44 พันล้านดอลลาร์ในรูปแบบของ "ดอลลาร์" ที่ช่วยให้บริษัทสามารถ จ่ายปันผล ได้นานถึง 21 เดือน โดยไม่ต้องแตะต้อง Bitcoin เลยแม้แต่น้อย หรือช่วงที่ราคาบิตคอยน์ร่วงแรงตอนตลาดหยุดชะงัก
ความเสี่ยงที่แท้จริงในระยะยาวคือ "จุดคุ้มทุน" หาก Bitcoin ไม่สามารถเพิ่มมูลค่าได้เกิน 1.36% ต่อปี ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของบริษัท หุ้น MSTR ก็จะไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นได้เท่าที่ควร เมื่อเทียบกับการลงทุนในตลาดอื่น ๆ







