Asset Tokenization: อัปเดตแนวโน้มและภาพรวมตลาดคริปโทปลายปี 2025

Asset Tokenization: อัปเดตแนวโน้มและภาพรวมตลาดคริปโทปลายปี 2025

การเติบโตของ Asset Tokenization ในปี 2025 ยังคงกระจุกตัวในสินทรัพย์ทางการเงิน โดยกว่า 80% ของ RWA ที่ถูกแปลงเป็นโทเคนคือพันธบัตรรัฐบาล (Treasuries), กองทุนตลาดเงิน และตราสารหนี้

KEY

POINTS

  • ณ เดือนพฤศจิกายน 2025 ตลาดสินทรัพย์ Tokenized มีมูลค่ารวมประมาณ 331,000 ล้านดอลลาร์ โดยเป็นสินทรัพย์ในโลกความจริง (RWA) กว่า 33,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากปี 2019
  • การเติบโตของ Asset Tokenization ในปี 2025 ยังคงกระจุกตัวในสินทรัพย์ทางการเงิน โดยกว่า 80% ของ RWA ที่ถูกแปลงเป็นโทเคนคือพันธบัตรรัฐบาล (Treasuries), กองทุนตลาดเงิน และตราสารหนี้
  • ภาพรวมตลาดคริปโทปี 2025 มีความผันผวนรุนแรง โดยมูลค่าตลาดเคยขึ้นไปแตะ 4 ล้านล้านดอลลาร์ (Bitcoin ทำจุดสูงสุดที่ $126,000) ก่อนจะเผชิญการปรับฐานครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี ทำให้มูลค่าตลาดลดลง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์
  • กฎหมาย GENIUS Act. ในสหรัฐฯ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สร้างกรอบกำกับดูแล Stablecoin และส่งสัญญาณการยอมรับสินทรัพย์บนบล็อกเชน ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้สถาบันการเงินเข้ามาในตลาด Tokenization มากขึ้น
  • แม้ตลาดจะผันผวนในระยะสั้น แต่แนวโน้มระยะยาวของ Asset Tokenization ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีการคาดการณ์ว่าตลาด RWA Tokenization อาจมีมูลค่าสูงถึง 1.5-2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030

ปี 2025 กำลังถูกพูดถึงว่าเป็นจุดเปลี่ยนของโลก Digital Asset โดยเฉพาะในมิติของ Asset Tokenization หรือการนำสินทรัพย์โลกความจริงมาแปลงให้อยู่ในรูปโทเคนบนบล็อกเชน จากเดิมที่เคยเป็นเพียงคอนเซปต์ในงานสัมมนาและ whitepaper วันนี้มันเริ่มกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานจริงของระบบการเงินยุคใหม่ที่เชื่อมโลกคริปโตฯเข้ากับตลาดทุนดั้งเดิมอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ

ข้อมูลจาก Deutsche Bank Research ระบุข้อมูล ณ เดือน พ.ย. 25 รายงานชี้สินทรัพย์ที่ Tokenized มีมูลค่าสูงราว $331,000 ล้านดอลลาร์ โดยหากเจาะลึกลงมาจะเห็นว่ากว่า $33,000 ล้านดอลลาร์ เป็น Real-World Assets (RWA) ที่ Tokenized จริง และส่วนที่เหลือจะอยู่ในกลุ่มของ Stablecoin สะท้อนว่าการ Tokenization ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดในเชิงทฤษฎีอีกต่อไป แต่กำลังเกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน

Asset Tokenization คืออะไร?

Asset Tokenization คือกระบวนการแปลงมูลค่าหรือสิทธิความเป็นเจ้าของในสินทรัพย์ใดๆให้กลายเป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน โดยสินทรัพย์นั้นอาจเป็นได้ทั้งทรัพย์สินที่จับต้องได้ (เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ ผลงานศิลปะ) หรือสินทรัพย์ทางการเงิน (เช่น หุ้น พันธบัตร กองทุน) โทเคนที่สร้างขึ้นจะทำหน้าที่เสมือนหลักฐานความเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้น ซึ่งสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางแบบระบบการเงินดั้งเดิม

แนวคิดนี้ช่วยปลดล็อกสินทรัพย์ในรูปแบบดั้งเดิม ที่เคยซื้อขายได้ยากหรือเข้าถึงยาก ให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงขึ้น นักลงทุนจะสามารถซื้อขายหน่วยย่อยของสินทรัพย์ (fractional ownership) ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยลดข้อจำกัดด้านเงินทุนในการลงทุน ตัวอย่างเช่น อสังหาริมทรัพย์ราคาแพง ก็สามารถนำมาแบ่งเป็นโทเคนย่อยๆเพื่อให้ผู้ลงทุนรายย่อยเข้าถือครองได้ในวงเงินเพียงหลักพันหรือหลักหมื่นแทนที่จะต้องใช้เงินหลักล้านในการซื้อทรัพย์สินทั้งก้อน

ประโยชน์หลักของ Asset tokenization ได้แก่

• เพิ่มสภาพคล่อง: เปลี่ยนสินทรัพย์ที่เคยสภาพคล่องต่ำ (เช่น อสังหาริมทรัพย์, ของสะสม) ให้กลายเป็นโทเคนที่ซื้อขายได้ตลอดเวลา เปิดโอกาสให้มีผู้ซื้อผู้ขายมากขึ้น

• เข้าถึงการลงทุนได้ง่ายขึ้น: นักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนในสินทรัพย์ใหญ่ๆ ผ่านการถือโทเค็นที่แบ่งเป็นส่วนเล็กๆ ไม่จำกัดเฉพาะผู้เล่นรายใหญ่อีกต่อไป ส่งเสริมการกระจายความมั่งคั่งอย่างทั่วถึง

• ประสิทธิภาพและโปร่งใส: การใช้บล็อกเชนช่วยลดตัวกลางและขั้นตอนธุรกรรม ทำให้การโอนกรรมสิทธิ์รวดเร็ว ค่าใช้จ่ายถูกลง ข้อมูลการทำธุรกรรมถูกบันทึกอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้

• การกระจายการลงทุน: ผู้ลงทุนสามารถถือโทเคน ของสินทรัพย์หลายประเภทในมูลค่าต่ำ กระจายความเสี่ยงแทนการทุ่มเงินในสินทรัพย์เดียว

• ขยายตลาดสู่ระดับโลก: โทเคนดิจิทัลซื้อขายได้ไร้พรมแดน เปิดโอกาสให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าถึงสินทรัพย์ที่เดิมอยู่คนละประเทศได้ง่ายขึ้น

จากคุณสมบัติเหล่านี้ Asset Tokenization จึงถูกมองว่าเป็นการผสานโลกการเงินเข้ากับเทคโนโลยีที่ช่วยให้การลงทุนมีความยืดหยุ่นและทั่วถึงมากขึ้นเป็นหนึ่งในเทรนด์ที่กำลังมาแรงในการพลิกโฉมตลาดทุนยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

สิ่งที่น่าจับตาคืออัตราการเติบโตฯ ของสินทรัพย์ที่ Tokenized ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้อมูลจาก Deutsche Bank ชี้ว่ามูลค่าตลาดโดยรวมของ Tokenized Asset เพิ่มขึ้นจากเพียง $4,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงปลายปี 2019 มาสู่ราว $331,000 ล้านดอลลาร์ในเดือน พ.ย. 25 หรือคิดเป็นการเติบโตกว่า 8,175% ในระยะเวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น ขณะเดียวกันปริมาณ New Issuance Volume ก็มีการขยายจากเพียง $59.7 ล้านดอลลาร์ในปี 2018 มาสู่ระดับ $300,000 ล้านดอลลาร์ในเดือน ต.ค. 25 สะท้อนว่าการ Tokenization ไม่ได้หยุดอยู่ที่เพียงสินทรัพย์รุ่นแรกๆ แต่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในวงกว้างมากขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี โครงสร้างของตลาด Tokenization ในตอนนี้ยังไม่ถูกกระจายเข้าถึงในทุกสินทรัพย์ ส่วนใหญ่แล้วการเติบโตยังคงกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีโครงสร้างชัดเจน โดยเฉพาะ ตราสารหนี้และ Money-Market Funds เช่น พันธบัตรรัฐบาล และกองทุน ข้อมูลจาก Deutsche Bank ชี้ว่าตลาดการ Tokenized U.S. Treasuries เติบโตมากว่า 118% นับแต่ช่วงต้นปี 2025 และมากกว่า 80% ของปริมาณ Tokenized RWA ทั้งหมดยังอยู่ในกลุ่ม Treasuries, Money-Market Funds และ Credit 

ขณะที่ หุ้นและอสังหาริมทรัพย์แม้จะเริ่มมีเคสจริง แต่ยังมีสัดส่วนที่เล็กกว่ามาก จุดเปลี่ยนสำคัญในช่วงปีนี้คือการออกกฎหมาย GENIUS Act. ในสหรัฐฯซึ่งวางกรอบการกำกับดูแล Stablecoin อย่างชัดเจน ทั้งด้านการสำรองสินทรัพย์ การตรวจสอบ และข้อกำหนดด้านความโปร่งใส กฎหมายนี้ไม่ได้เพียงรองรับ Stablecoin เท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณว่ารัฐยอมรับโครงสร้างสินทรัพย์ที่อยู่บนบล็อกเชนในฐานะส่วนหนึ่งของระบบการเงินยุคใหม่เป็นแรงเสริมสำคัญให้สถาบันการเงินเริ่มจริงจังกับการ Tokenized สินทรัพย์ประเภทอื่นด้วย

ภาพรวมตลาดคริปโตปี 2025 นี้เราจะเห็นถึงความผันผวนที่รุนแรงอย่างมีนัยยะ มูลค่าตลาดโดยรวมเคยขึ้นไปแตะระดับ $4 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วน Bitcoin เองสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ที่บริเวณ $126,000 และสถาบันการเงินรวมถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ก็ทยอยเข้ามาจับมือกับแพลตฟอร์ม Digital Asset กันมากขึ้น สะท้อนการยอมรับคริปโตในฐานะ Main Stream Asset ของโลกการลงทุน แต่อีกมุมหนึ่ง ช่วงปลายปี ณ ปัจจุบัน ตลาดคริปโตเผชิญกับแรงเทขายและการปรับฐานครั้งใหญ่ มูลค่าตลาดหายไปราว $1.2 ล้านล้านในระยะเวลาเพียง 6 สัปดาห์ Bitcoin ร่วงลงต่ำกว่าโซน $90,000 ก่อนพยายามประคองสร้างฐาน ปัจจัยสำคัญมาจากการไหลออกของเงินทุนจาก Crypto ETF, จังหวะการขายทำกำไรของกลุ่มสถาบัน และความกังวลต่อภาพรวมของปัจจัยทาง Macroeconomics แม้จะดูรุนแรง แต่หากมองในเชิงโครงสร้างจะเห็นว่าตลาดคริปโตวันนี้แตกต่างจากภาพฟองสบู่ช่วงก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญทั้งในแง่โครงสร้างพื้นฐานภายในที่รองรับธุรกรรมได้สูงขึ้น ฐานผู้ใช้จริงที่กว้างขึ้น การเข้ามาของกลุ่มนักลงทุนสถาบัน และที่สำคัญคือการเติบโตของตลาด Tokenization และ RWA on-chain ซึ่งเป็นอนาคตที่ไม่ได้หายไปตามความผันผวนระยะสั้น

หากอิงข้อมูลจาก Deutsche Bank ที่เลือกใช้สมมติฐานเชิง Conservative ในการประเมินภาพ RWA Tokenization โดยไม่รวม Stablecoin คาดการณ์ภายในปี 2030 ตลาด RWA Tokenization อาจมีมูลค่าสูงแตะ $1.5-2 ล้านล้านดอลลาร์ และภายในปี 2035 มีโอกาสขยายสู่ระดับ $3-4 ล้านล้านดอลลาร์ การคาดการณ์นี้ตั้งอยู่บนสมมติฐานสำคัญหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นกฎระเบียบทั่วโลกที่มีแนวโน้มเป็นมิตรมากขึ้นต่อตลาดคริปโท ที่สำคัญคือ Tokenization ไม่ได้ทำให้ตัวกลางทางการเงินหายไปแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการย้ายโครงสร้างพื้นฐานการเงินแบบเดิมขึ้นมาสู่โลกดิจิทัล ทำให้กระบวนการ Custody, Settlement และการโอนหลักประกันโปร่งใสและอัตโนมัติมากขึ้น แน่นอนสถาบันการเงินยังคงมีบทบาทที่สำคัญ แต่บทบาทนั้นจะเริ่มผสานกับเทคโนโลยีบล็อกเชนอย่างแนบแน่นกว่าเดิม

จากเดิมที่ Asset Tokenization อาจเป็นเพียงคำศัพท์ทางเทคโนโลยีในวงการคริปโต วันนี้ตัวเลขมูลค่าตลาดหลายแสนล้านดอลลาร์ บวกกับการเข้ามาของสถาบันการเงินพร้อมกรอบกฎหมายใหม่ๆอย่าง GENIUS Act ต่างตอกย้ำว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคที่มูลค่าสินทรัพย์ในรูปแบบดั้งเดิมกำลังถูกย้ายขึ้นมาอยู่บนบล็อกเชนอย่างเป็นระบบ แม้ความผันผวนของตลาดคริปโตยังคงมีอยู่มากแต่ภายใต้ความเหวี่ยงของราคานั้น แนวโน้มระยะยาวของ Asset Tokenization กำลังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และอาจเป็นหนึ่งในเสาหลักสำคัญของระบบการเงินโลกยุคถัดไปที่เปิดกว้างอย่างแท้จริง