Bitcoin Halving กำลังจะสิ้นสุด? เมื่อวาฬ-สถาบันยักษ์ใหญ่ เข้าคุมเกม ‘คริปโท’

วัฏจักร Bitcoin Halving กำลังจะสิ้นสุด? เมื่อวาฬ-สถาบันยักษ์ใหญ่ เข้าคุมเกม ‘คริปโท’ ทำราคา Bitcoin มีลักษณะการขึ้นลงคล้ายกับ "หุ้น" จับทิศตลาดปี 2569
จากเดิมตลาดคริปโทเคอร์เรนซีเคยขับเคลื่อนด้วย “นักลงทุนรายย่อย” และวัฏจักรการ Halving ทุก 4 ปี ล่าสุดตลาดคริปโทเคอร์เรนซีกำลังก้าวเข้าสู่ "ยุคของผู้เล่นสถาบัน" และภาคธนาคารอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า “วัฏจักร Halving” ที่คุ้นเคยของ Bitcoin กำลังจะหายไปแล้วหรือไม่
สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ แห่เข้าคุมเกม
ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในปี 2568 ได้รับเงินทุนมหาศาลจากบริษัทการเงินดั้งเดิมระดับโลก เช่น Bank of America, BlackRock, City Bank, Deutsche Bank, Fidelity, และ HSBC โดยสถาบันเหล่านี้ได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสินทรัพย์ (Custody) และเสนอผลิตภัณฑ์อย่าง Crypto ETP และ Crypto Fund
ดร.กร พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่กลยุทธ์ และผู้อำนวยการ BINANCE TH Academy มองว่าสถาบันเหล่านี้มีเงินทุนที่มากกว่า และมีอำนาจในการ “คุมเกม” เหนือกว่านักลงทุนรายย่อยหรือนักลงทุนรายใหญ่แบบเดิม
การเปิดตัว Exchange Traded Funds ทำให้การซื้อขาย Bitcoin มีความเชื่อมโยงกับตลาดการเงินหลักมากขึ้น และส่งผลให้ราคา Bitcoin มีลักษณะการขึ้นลงคล้ายกับ "หุ้น" มากกว่าการเคลื่อนไหวตามวัฏจักรที่ผูกติดกับการ Halving โดยตรง
ปัจจุบันเกิดการถกเถียงอย่างเข้มข้นในหมู่นักวิเคราะห์ โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มหลัก โดยกลุ่มแรกเชื่อมั่นว่าราคา Bitcoin ยังคงต้องเคลื่อนไหวตามไซเคิล 4 ปีตามหลักประวัติศาสตร์ และอีกกลุ่มเชื่อว่าปัจจัยมหภาค (Macro Factor) และการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสถาบันการเงิน จะเป็น "ตัวพยุงราคา" ไม่ให้เกิดการปรับฐานที่รุนแรงเหมือนในรอบ Halving ที่ผ่านมา
นอกจากเม็ดเงินทุน สภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบทั่วโลกก็เอื้อต่อการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างชัดเจน
- ยุโรป: ออกกฎหมาย MiCA ซึ่งสนับสนุน อุตสาหกรรมBitcoin และ Crypto
- สหรัฐ: มีกฎหมายต่างๆ ออกมาสนับสนุน Crypto
- ฮ่องกง: ออกกฎหมายใหม่เกี่ยวกับ Stablecoin
- ไทย มีความคืบหน้า เช่น การยกเลิกภาษีกำไรจากคริปโทเคอร์เรนซี
ปัจจัยด้านกฎหมายเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่น และเปิดทางให้สถาบันสามารถนำเงินเข้ามาลงทุนได้อย่างปลอดภัย
แนวโน้มตลาดปี 2569
ดร.กร มองว่าตลาดมีสัญญาณ “อัปไซด์” มหาศาล โดยมีโอกาสที่ราคาจะขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 100,000 ถึง 120,000 ดอลลาร์ ในช่วงต้นปีหน้า จากปัจจัยหลักคือ
- การสิ้นสุด Quantitative Tightening (QT) คาดการณ์ว่าการลดขนาดงบดุลของ Fed จะลดลงหรือสิ้นสุดในวันที่ 1 ธ.ค.68 และจะตามมาด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ
- การลดดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งจะส่งผลดีต่อแนวโน้มของตลาดคริปโทเคอร์เรนซีโลก
ในด้านแนวโน้มสำหรับปีหน้า ดร.กร ได้สรุปปัจจัยหลัก 3 ประการที่จะขับเคลื่อนตลาด ได้แก่ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของกรอบกำกับดูแลในประเทศไทย การเข้ามามีส่วนร่วมของภาคสถาบัน และผู้เล่นกระแสหลัก และการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Stablecoins, Tokenization และ Real-World Assets (RWA) ปัจจัยเหล่านี้จะนำสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าใกล้ผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้น ไม่ใช่เพียงในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการชำระเงิน การเข้าถึงทางการเงิน และการแลกเปลี่ยนมูลค่าอีกด้วย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







