‘กัลฟ์ ไบแนนซ์’ ผนึก ‘บิทาซซ่า-แมกซ์บิท‘ เสริมแกร่งตลาดคริปโทไทย

กัลฟ์ ไบแนนซ์ ผนึก ‘บิทาซ่า-แมกซ์บิท‘ ปั้นโมเดล ‘ไทยทำไทยใช้’ ลดพึ่งพาตลาดนอก สร้างอีโคซิสเต็มตลาดคริปโทไทยแกร่ง มองราคาบิตคอยน์มีปัจจัยบวก ดันราคา 120,000 ดอลลาร์
“นิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด เปิดเผยว่าตลอดปี 2568 แพลตฟอร์มเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ทั้งในแง่ของฐานผู้ใช้ที่ผ่านการยืนยันตัวตนแล้วเติบโต 7.1 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเดือนต.ค.ปีที่ผ่านมา และปริมาณการซื้อขายตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนต.ค.เติบโต 5.5 เท่า และก้าวขึ้นเป็นแอปพลิเคชันคริปโทที่มีการดาวน์โหลดมากที่สุดในไทย
หนึ่งในทิศทางสำคัญในปี 2569 กัลฟ์ ไบแนนซ์ ยังได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งสำคัญกับบิทาซซ่า(Bitazza), และแมกซ์บิท (Maxbit) เพื่อเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของตลาดและปรับปรุงสภาพคล่องของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทย สะท้อนแนวคิด "ไทยทำ ไทยใช้" ที่มุ่งเน้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนคำสั่งซื้อขายและการจัดการสภาพคล่องกันเองภายในประเทศแทนที่จะส่งคำสั่งไปต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและสร้างรายได้ให้อีโคซิสเต็มของไทยเติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ กัลฟ์ไบแนนซ์ยังคงยำ “จุดแข็ง” ด้านเทคโนโลยีในการพัฒนาประสบการณ์ใช้งานอย่างต่อเนื่อง โดยมีเหรียญที่เปิดให้ซื้อขายรวมกว่า 400 เหรียญ ซึ่งถือเป็นจำนวนเหรียญที่มากที่สุดในประเทศไทย พร้อมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่เพื่อช่วยให้นมักลงทุนได้รับข่าวความเคลื่อไหวของตลาด ได้แก่ AI Sentiment เครื่องมือวิเคราะห์อารมณ์ตลาดจากชุมชนโซเชียล , Daily Insight สรุปภาพรวมความเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละวันอย่างเข้าใจง่าย และ Fear and Greed Index เครื่องมือช่วยให้นักลงทุนเช็ก เซนติเมนท์ของตลาด รวมทั้งยกระดับความปลอดภัยสูงสุดด้วยพาสคีย์ทำให้เคสการถูกแฮกของลูกค้าลดลงจนแทบจะเป็นศูนย์
จับสัญญาณอัพไซต์ ‘บิตคอยน์’
ดร.กร พูนศิริวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์มองว่า ราคาบิตคอยน์ต่ำสุดที่เป็นไปได้ในเชิงเทคนิคที่ 60,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 200 สัปดาห์ หลังจากแตะค่าเฉลี่ย 100 สัปดาห์ในขณะนี้
สำหรับภาพรวมตลาดคริปโทในปี 2569 ดร.มองว่ามีสัญญาณ “อัพไซด์” มหาศาล โดยมองว่าราคาบิตคอยน์และตลาดคริปโทเคอเรนซี่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 100,000 ถึง 120,000 ดอลลาร์ หรือราว 30% จากราคาปัจจุบันจาก 2 ปัจจัยหลักด้วยกัน
ข้อแรกคือ มีการคาดการณ์ว่าจะมีการลดขนาดงบดุลหรือ QT ของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะลดลงหรือสิ้นสุดในวันที่ 1 ธ.ค. และจะตามมาด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ ซึ่งจะทำให้มีเงินไหลเข้ามาในระบบมากขึ้น ถัดมาคือการลดดอกเบี้ยของเฟด ที่จะส่งต่อแนวโน้มของตลาดคริปโทโลกเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหลัก 3 ประการที่จะขับเคลื่อนตลาด ได้แก่ การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของกรอบกำกับดูแลในประเทศไทย การเข้ามามีส่วนร่วมของภาคสถาบันและผู้เล่นกระแสหลัก และการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Stablecoins, Tokenization และ Real-World Assets (RWA) ปัจจัยเหล่านี้จะนำสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าใกล้ผู้ใช้ทั่วไปมากขึ้น ไม่ใช่เพียงในฐานะสินทรัพย์เพื่อการลงทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสำคัญของการชำระเงิน การเข้าถึงทางการเงิน และการแลกเปลี่ยนมูลค่าอีกด้วย
นายนิรันดร์ ทิ้งท้ายว่า “ไม่ว่าตลาดคลิปโทจะขึ้นหรือลง กัลฟ์ ไบแนนซ์จะยังคงพัฒนาแพลตฟอร์มต่อไป คาดว่าผู้ใช้งานและวอลลุ่มการซื้อขายจะเติบโต และย้ำจุดแข็งเรื่องของเทคโนโลยีของแพลตฟอร์มที่เป็นระดับเดียวกับไบแนนซ์โกลบอล”







