Digital Resilience: ภูมิคุ้มกันยุคดิจิทัลปัจจุบัน

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญ โดยภาคเอกชน เช่น แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล มีข้อมูลที่จำเป็นต่อการติดตามและสืบสวนกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
KEY
POINTS
- การสร้างภูมิคุ้มกันดิจิทัลต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศและระดับภูมิภาค เพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติที่ไม่สามารถรับมือได้โดยลำพัง
- ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญ โดยภาคเอกชน เช่น แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล มีข้อมูลที่จำเป็นต่อการติดตามและสืบสวนกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
- การพัฒนากรอบกฎหมายและกฎระเบียบที่ชัดเจน รวมถึงการเข้าร่วมอนุสัญญาระหว่างประเทศ เช่น อนุสัญญาฮานอย จะช่วยอำนวยความสะดวกในการสืบสวนข้ามพรมแดนและติดตามทรัพย์สิน
- การป้องกันมีความสำคัญกว่าการสืบสวน โดยรัฐบาลและเอกชนต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องในการให้ความรู้แก่สาธารณชนเพื่อสร้างการรับรู้ถึงความเสี่ยงและลดจำนวนเหยื่อ
- ความระมัดระวังของแต่ละบุคคลเป็นเกราะป้องกันที่แท้จริง ควบคู่ไปกับการที่ภาคธุรกิจต้องมองว่าการปฏิบัติตามกฎระเบียบคือการสร้างความไว้วางใจและความยั่งยืน ไม่ใช่ภาระ
การปฏิบัติการร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรเมื่อไม่นานมานี้ สามารถจับกุมและปิดล้อมเครือข่ายสแกมเมอร์ขนาดใหญ่ซึ่งมีฐานการดำเนินงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กระตุ้นความสนใจภัยคุกคามออนไลน์ให้สื่ออีกครั้ง เช่นเดียวกัน สำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในการตรวจจับแก๊งสแกมเมอร์รายใหญ่ ยึดคริปโทเคอร์เรนซีและทรัพย์สินมูลค่าหลายล้านบาท ประเทศไทยซึ่งตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาค ถือเป็นแนวหน้าในการต่อสู้กับสแกมเมอร์ระดับโลกนี้ นอกเหนือจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์แล้ว ความเสียหายทางสังคมและเศรษฐกิจอันมหาศาลจากอาชญากรรมไซเบอร์ยังทำให้รัฐบาลไทยยกระดับปัญหานี้ขึ้นเป็น ‘วาระแห่งชาติ’
ในฐานะอดีตเจ้าหน้าที่สืบสวน ผมรู้สึกยินดีที่ได้เห็นประเทศต่างๆ หันมาตระหนักถึงความเร่งด่วนของเรื่องนี้และลงมือดำเนินการจริงจังต่อต้านภัยคุกคามทางไซเบอร์ ประเทศไทยมีความก้าวหน้าอย่างน่าประทับใจในด้านนี้เช่นกัน ความมุ่งมั่นที่แสดงออกมา ทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะกลายเป็นผู้นำในภูมิภาค และเป็นแบบอย่างระดับโลกในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์
ตามข้อมูลของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) ความสูญเสียจากการหลอกลวงและการฉ้อโกงออนไลน์ทั่วเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ประมาณ สิบแปด ถึง สามสิบเจ็ดพันล้านดอลลาร์สหรัฐ (USD 18-37 billion in 2023) ในปี 2566 โดยอาชญากรรมข้ามชาติเหล่านี้ยังคงขยายตัวไปทั่วโลก ไม่มีประเทศใดสามารถรับมือกับความท้าทายนี้ได้เพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยการดำเนินการร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพและมีการประสานงานในระดับภูมิภาคและระดับโลก ตั้งแต่การแบ่งปันข่าวกรอง การประสานงานด้านการบังคับใช้กฎหมาย ไปจนถึงการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงพันธมิตรระหว่างประเทศ
จากประสบการณ์ส่วนตัวด้านงานการบังคับใช้กฎหมายและการทำงานร่วมกับหน่วยสืบสวนทั่วโลกในปัจจุบัน ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและความล้มเหลวของการสืบสวนคดีนั้น อยู่ที่ความร่วมมือและการประสานงานอย่างใกล้ชิดของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่เฉพาะเทคโนโลยี ในโลกที่เชื่อมโยงถึงกันทุกวันนี้ อาชญากรรมได้ก้าวข้ามขอบเขตแบบดั้งเดิมไปแล้ว เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นตัวอย่าง ที่กำลังเปลี่ยนโฉมระบบการเงินของเรา ขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ เงินทุนสามารถเคลื่อนย้ายข้ามทวีปได้ภายในไม่กี่วินาที การติดตามทรัพย์สินที่ถูกขโมยหรือการจับกุมผู้กระทำความผิดจึงต้องอาศัยความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่การสืบสวนในอดีตมักถูกขัดขวางด้วยการขาดมาตรฐาน การขาดกรอบกฎหมาย หรือความเชี่ยวชาญทางเทคนิค ส่งผลให้พลาดโอกาสและคดีที่คาราคาซัง
โชคดีที่สถานการณ์กำลังดีขึ้นเมื่อความชัดเจนด้านกฎระเบียบเพิ่มมากขึ้นและการนำไปใช้ยังคงเติบโต ในอุตสาหกรรมคริปโต หน่วยงานกำกับดูแลได้เสริมสร้างกรอบการทำงานให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายก็มีผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนมากขึ้น การพัฒนาเชิงรุกเหล่านี้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังเครือข่ายอาชญากร: โลกดิจิทัลไม่ใช่ที่หลบภัยอีกต่อไป การกระทำผิดจะมีผลที่ตามมา
อย่างไรก็ตาม การประสานงานระหว่างรัฐบาลเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่ง สถาบันการเงินเช่นแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล มีข้อมูลและสารสนเทศสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการติดตามกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย การระบุผู้ต้องสงสัย และการรวบรวมหลักฐาน โดยเฉพาะสำหรับประเทศเล็กที่มีทรัพยากรจำกัด ความช่วยเหลือจากบริษัทเอกชนจึงมีความสำคัญยิ่งขึ้น ความสำเร็จของการปฏิบัติการสำคัญหลายครั้งที่ไบแนนซ์ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทย เช่น ปฏิบัติการ Trust No One, Cyberguardian, 293 และ Skyfall ซึ่งช่วยปิดล้อมเครือข่ายฟอกเงินข้ามชาติและติดตามทรัพย์สินที่ถูกขโมย ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ชัดเจน ความสำเร็จในการปฏิบัติการและความร่วมมือที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้ ควรกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ สามารถเป็นแบบอย่างให้ทั่วโลกได้ปฏิบัติตาม
ความร่วมมือระหว่างประเทศมีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเมื่ออาชญากรรมไซเบอร์ยังคงเป็นภัยคุกคามข้ามชาติที่เติบโตเร็วที่สุดอย่างหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ผมได้เข้าร่วมพิธีลงนามในอนุสัญญาฮานอยว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งเป็นความริเริ่มของสหประชาชาติที่จัดทำกรอบความร่วมมือระดับโลกเพื่อรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์ข้ามพรมแดนที่เกิดขึ้นใหม่ ประเทศไทยอยู่ในจำนวนประเทศผู้ลงนามกว่า 70 ประเทศ เมื่ออนุสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับใช้ จะช่วยอำนวยความสะดวกให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานตุลาการทั่วโลกสามารถดำเนินการสืบสวนข้ามพรมแดนและติดตามทรัพย์สินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่สภาพแวดล้อมดิจิทัลที่ปลอดภัยกว่า
แม้กระนั้น การป้องกันก็ยังง่ายกว่าการสืบสวนเสมอ รัฐบาลต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านการศึกษาเพื่อสร้างการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับความเสี่ยงออนไลน์ การริเริ่มด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่องจากทั้งภาครัฐและเอกชน มีบทบาทสำคัญในการเสริมพลังให้แก่ทุกคน และทุกคนที่มีความรู้ย่อมหมายถึงเหยื่อที่ลดลงไปอีกหนึ่งราย
มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจดิจิทัลได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม สำหรับประชากรในประเทศไทยและทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตอบรับการใช้ดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง และนโยบายภาครัฐที่มองการณ์ไกลกำลังผลักดันนวัตกรรม อย่างไรก็ตาม ความท้าทายจะอยู่ที่ว่าเราจะป้องกันไม่ให้ความสำเร็จเหล่านี้ถูกกัดกร่อนได้อย่างไร สำหรับธุรกิจ การปฏิบัติตามกฎระเบียบไม่ควรถูกมองว่าเป็นภาระ แต่เป็นความได้เปรียบในการแข่งขัน ที่ปกป้องผู้บริโภค สร้างความไว้วางใจ และสร้างความยั่งยืน
ในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ กุญแจที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไร้ประโยชน์หากลืมกุญแจไว้ การป้องกันที่แท้จริงอยู่ที่ความระมัดระวัง ไม่ใช่แค่กำแพง แม้ว่าอาชญากรจะยังคงแสวงหาประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างความเสียหาย แต่ความร่วมมือในการตรวจจับอาชญากรรมและการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ ระหว่างภาครัฐและเอกชน และชุมชนระดับโลก จะช่วยให้เราชนะในสงครามที่ไร้เสียงปืนนี้ได้







