ก.ล.ต. รุกต่อเนื่อง ป้องกันและยับยั้งภัยหลอกลงทุน

ก.ล.ต. รุกต่อเนื่อง ป้องกันและยับยั้งภัยหลอกลงทุน

ก.ล.ต.จัดตั้ง “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน 1207 กด 22” เป็นศูนย์กลางรับแจ้งเบาะแสและให้คำปรึกษาแบบครบวงจร ซึ่งได้รับแจ้งเบาะแสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

KEY

POINTS

  • จัดตั้ง “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน 1207 กด 22” เป็นศูนย์กลางรับแจ้งเบาะแสและให้คำปรึกษาแบบครบวงจร ซึ่งได้รับแจ้งเบาะแสเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • ทำงานเชิงรุกโดยประสานงานกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อปิดกั้นช่องทางหลอกลงทุนอย่างรวดเร็วภายใน 7 นาที - 48 ชั่วโมง หลังได้รับการยืนยัน
  • ใช้เทคโนโลยีตรวจจับการหลอกลงทุนและสร้างเครื่องมือให้ประชาชนตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจ เช่น “SEC Check First” และ “SEC Investor Alert”
  • ร่วมมือกับองค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระหว่างประเทศ (IOSCO) และหน่วยงานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและวางแนวทางป้องกันการฉ้อโกงออนไลน์
  • ยกระดับมาตรการป้องกันการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเครื่องมือฟอกเงิน โดยร่วมมือระงับบัญชีม้าไปแล้วกว่า 44,000 บัญชี และปิดกั้นแพลตฟอร์มต่างประเทศที่ไม่ได้รับอนุญาต
  • ขยายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนรวม 15 แห่ง เพื่อร่วมกันปราบปรามสแกมเมอร์และอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน

อย่างที่ทุกท่านทราบกันนะครับว่า ปัญหา “ภัยหลอกลวงลงทุน” และอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (Scammer) นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งวิธีการและรูปแบบที่ซับซ้อนแยบยลมากขึ้น และแพร่กระจายวงกว้าง สร้างความเสียหายให้กับประชาชนมูลค่ามหาศาล ซึ่งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้ง ก.ล.ต. ได้ให้ความสำคัญ ในการป้องกันและปราบปรามอย่างต่อเนื่องจริงจังครับ

สำหรับการดำเนินการของ ก.ล.ต. ผมขอเล่าย้อนไปเมื่อปี 2566 ก.ล.ต. ได้จัดตั้ง “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน 1207 กด 22” ขึ้น เพื่อเป็น “ศูนย์กลางการให้บริการแบบครบวงจร” โดยดำเนินนโยบายในเชิงรุก เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ลดความเสียหายไม่ให้กระจายออกไปในวงกว้าง รวมทั้งเป็นที่พึ่งและที่ปรึกษาให้กับประชาชนในด้านการป้องกันภัยหลอกลงทุน เพิ่มเติมจากการเสริมสร้างความรู้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นกลไกในการปกป้องตนเองจากมิจฉาชีพ

ที่ผ่านมามีประชาชนแจ้งเบาะแสและขอคำปรึกษาเรื่องภัยหลอกลงทุนมาที่ “สายด่วนแจ้งหลอกลงทุน 1207 กด 22” จำนวนมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องครับ ทั้งทางโทรศัพท์ เว็บไซต์ อีเมล และ walk-in เข้ามาที่สำนักงาน ก.ล.ต. โดยจากข้อมูลล่าสุดตั้งแต่ต้นปี ถึงเดือน ต.ค. 68 ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแสหลอกลงทุนรวม 8,795 ครั้ง ซึ่งสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับทั้งปี 2567 ที่ได้รับแจ้งมาทั้งหมด 5,590 ครั้งครับ 

และด้วยนโยบายการทำงานในเชิงรุกของ ก.ล.ต. เมื่อได้รับแจ้งเบาะแสเข้ามาแล้ว จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบจนมั่นใจว่าเป็นการหลอกลงทุนจริง จากนั้นจะประสานผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและหน่วยงานภาครัฐเพื่อปิดกั้นช่องทางการหลอกลงทุนบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้เร็วที่สุด ไม่ให้ความเสียหายกระจายออกไปสู่วงกว้าง โดยปัจจุบันผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, TikTok, Instagram และ LINE ปิดกั้นไปแล้ว 100% ภายในเวลา 7 นาที-48 ชั่วโมง 

เพื่อป้องกันก่อนที่ความเสียหายจะเกิดขึ้น ก.ล.ต. ไม่ได้รอให้ประชาชนแจ้งเบาะแสเพียงอย่างเดียว แต่ ก.ล.ต. ยังใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการตรวจจับการชักชวนหลอกลงทุนบนสื่อโซเชียลมีเดีย และจัดทำเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ประชาชนได้ “เอ๊ะ!” ก่อนตัดสินใจ เช่น “SEC Check First” สำหรับตรวจสอบผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้แนะนำ ที่ได้รับอนุญาตหรือเห็นชอบจาก ก.ล.ต. และ “SEC Investor Alert” สำหรับตรวจสอบรายชื่อที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. รวมทั้งจัดทำเว็บไซต์ Scam Center เพื่อเป็นศูนย์รวมความรู้เกี่ยวกับการหลอกลงทุนรูปแบบต่าง ๆ 

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ยังประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศในการป้องกันการถูกชักชวนหลอกลงทุน เพราะไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยนะครับที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ หลายประเทศทั่วโลกที่เผชิญปัญหานี้ก็ร่วมมือกันอย่างเต็มที่ 

ในภาคตลาดทุนทั่วโลก องค์กรกำกับดูแลตลาดทุนระหว่างประเทศ (IOSCO) ได้พัฒนาระบบ IOSCO International Securities and Commodities Alerts Network หรือ I-SCAN เพื่อรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมที่เข้าข่ายหลอกลวงลงทุน บริษัทที่ไม่ได้รับใบอนุญาต และการกระทำที่น่าสงสัย จากประเทศสมาชิก โดยนำรายชื่อเหล่านั้นมาขึ้นเตือนให้ผู้ลงทุนและหน่วยงานอื่นตรวจสอบได้ ที่เว็บไซต์ iosco.org/i-scan/ ซึ่งจากข้อมูล ณ วันที่ 12 พ.ย. 68 ในระบบ I-SCAN มีการขึ้นเตือนทั้งหมด 37,956 รายชื่อ จากมากกว่า 130 ประเทศทั่วโลก โดยในจำนวนนี้เป็นรายชื่อที่ ก.ล.ต. แจ้งไปจำนวน 1,036 รายชื่อ 

ก.ล.ต. ยังเข้าร่วมเป็นคณะทำงานด้าน Scams และ Online Harms ใน IOSCO APRC Working Group ร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลจากหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อวางแนวทางความร่วมมือและแนวทางดำเนินการป้องกันการฉ้อโกงออนไลน์กับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Meta และ Google ซึ่งล่าสุดมีความคืบหน้าไปมากแล้วครับ คาดว่าในปีหน้าน่าจะมีอะไรมาเล่าให้ฟังกันครับ 

นอกจากการป้องกันและยับยั้งการหลอกลวงลงทุนแล้ว ก.ล.ต. ยังดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน โดยร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชนกำหนดมาตรฐานป้องกันและจัดการบัญชีม้า ซึ่งจนถึงสิ้นเดือน ต.ค. 68 ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลระงับบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลไปแล้วกว่า 44,000 บัญชี มูลค่ารวมประมาณ 219 ล้านบาท และที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้ร่วมผลักดันกฎหมายที่ช่วยยกระดับมาตรการสกัดกั้นบัญชีม้าสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลต้องมีความรับผิดร่วม (shared responsibility) ต่อความเสียหายของผู้ใช้บริการหากไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานหรือมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 

รวมทั้งยกระดับมาตรการป้องกันการใช้แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศเป็นช่องทางฟอกเงิน โดยร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อปิดกั้นเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการสินทรัพย์ดิจิทัลต่างประเทศที่มีพฤติกรรมการชักชวนหรือโฆษณาการให้บริการ (solicit) ผู้ลงทุนในประเทศไทย ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบัน มีการนำส่งให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปิดกั้นแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ได้รับอนุญาตแล้ว 5 แพลตฟอร์ม ตลอดจนขยายความร่วมมือในการจัดการปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีระหว่างภาคธนาคาร ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการร่วมลงนาม MOU ระหว่าง 15 หน่วยงานภาครัฐ ในการร่วมกันปราบสแกม และการร่วมคณะทำงานกับหน่วยงานภาครัฐ/เอกชนต่าง ๆ ในการปราบสแกม

มาถึงตรงนี้ น่าจะพอคุยได้ว่า ก.ล.ต. มีบทบาทในการเป็นศูนย์กลางให้บริการเรื่องภัยหลอกลงทุนแบบครบวงจร ตั้งแต่...

· รับแจ้งเบาะแสและให้คำปรึกษาเรื่องภัยหลอกลงทุนในเชิงรุก

· ปิดกั้นช่องทางการหลอกลงทุนบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ให้เร็วที่สุด

· ใช้เทคโนโลยีช่วยในการตรวจจับการชักชวนหลอกลงทุนบนสื่อโซเชียลมีเดีย

· จัดทำเครื่องมือช่วยให้ประชาชน “เอ๊ะ!” ก่อนตัดสินใจ

· ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน ทั้งในและต่างประเทศในการป้องกันการถูกชักชวนหลอกลงทุน

และยกระดับมาตรการป้องกันและยับยั้งการใช้สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นช่องทางการฟอกเงิน เพื่อให้ตลาดทุนไทยปลอดภัยจากภัยหลอกลงทุนและอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างยั่งยืนครับ

ก.ล.ต. ดูแลตลาดทุน เพื่อให้คุณมั่นใจ