ผลกระทบหลังการ Liquidate ครั้งใหญ่

สภาพคล่องจากนักลงทุนรายย่อยหายไปจากตลาด 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความคาดหวังของ Altseason ในไตรมาสที่ 4 และทำให้กระแส (Narrative) ต่างๆ ต้องถูกรีเซ็ต เกิดความกังวลเรื่องการล้มแบบโดมิโน่ของโปรเจกต์ต่างๆ แม้ผู้เขียนจะมองว่าโอกาสเกิดค่อนข้างต่ำ เนื่องจากผลกระทบส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มนักลงทุนที่ใช้ Leverage และผู้ดูแลสภาพคล่อง (MMs) ไม่ได้เชื่อมโยงกับโปรเจกต์อื่นเหมือนกรณีของ Luna และ FTX

KEY

POINTS

  • สภาพคล่องจากนักลงทุนรายย่อยหายไปจากตลาด 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความคาดหวังของ Altseason ในไตรมาสที่ 4 และทำให้กระแส (Narrative) ต่างๆ ต้องถูกรีเซ็ต
  • เกิดความกังวลเรื่องการล้มแบบโดมิโน่ของโปรเจกต์ต่างๆ แม้ผู้เขียนจะมองว่าโอกาสเกิดค่อนข้างต่ำ เนื่องจากผลกระทบส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มนักลงทุนที่ใช้ Leverage และผู้ดูแลสภาพคล่อง (MMs) ไม่ได้เชื่อมโยงกับโปรเจกต์อื่นเหมือนกรณีของ Luna และ FTX
  • แม้ตลาดจะสะดุดในช่วงต้นไตรมาส แต่ยังมีความหวังว่าจะสามารถฟื้นตัวและกลับมาเป็นขาขึ้นได้ในช่วงปลายไตรมาส หากเหตุการณ์ไม่ลุกลามบานปลาย

จากฝันอันสวยหรูช่วงต้นเดือนต.ค. ที่ทุกคนต่างคาดหวังการมาของ Uptober หรือตลาดขาขึ้นในเดือนต.ค. ถูกดับฝันด้วยเหตุการณ์การถูกบังคับปิดสถานะ (Liquidate) ในคืนวันที่ 10 ต.ค. ด้วยมูลค่าที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในโลกคริปโทฯ กว่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และคำถามที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้คือ เหตุการณ์ดังกล่าวจะนำพาไปสู่การจบรอบของตลาดขาขึ้น หรือ เกิดการล้มของเหล่าโปรเจกต์คริปโทฯ เป็นโดมิโน่เหมือนครั้ง LUNA และ FTX หรือไม่?

สาเหตุของการ Liquidate ครั้งใหญ่รอบนี้ ชนวนมาจากสงครามการค้าที่กลับมาปะทุอีกครั้งหลังจีนมีมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากอย่างแรร์เอิร์ท ทำให้ทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีกับจีนอีก 100% ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นสิ่งที่เราเผชิญมาตลอดปี และคาดเดาได้ว่าเป็นเกมการเมืองสำหรับการต่อรอง มากกว่าจะขึ้นภาษีมาห่ำหั่นทำลายเศรษฐกิจกันจริง ๆ ซึ่งตลาดหุ้นตอบรับแค่การปรับฐานรอดูสถานการณ์ (Risk off) แต่ตลาดคริปโทฯ กลับถูกเทขายอย่างหนัก (Sell off) เนื่องจากความคาดหวังตลาดขาขึ้นจาก Uptober ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะโลภและใช้ Leverage ในฝั่งขาขึ้น (Long position) กันในปริมาณมาก พอมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดและตลาดปรับตัวลงจึงถูกบังคับ Liquidate กันถ้วนหน้า

แต่เหตุการณ์ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น ผลกระทบลุกลามไปถึงผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Makers หรือ MMs) ที่โดยปกติแล้วนั้น MMs จะทำหน้าที่วางออเดอร์ในฝั่งเสนอซื้อ (Bid) และฝั่งเสนอขาย (Offer) ทำให้ Volume ใน Order book มีเพียงพอต่อการเทรด และ MMs จะได้กำไรจากส่วนต่างราคา (Spread) ระหว่าง Bid กับ Offer ที่ตนเองวาง โดย MMs จำเป็นต้องมีการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ในตลาดอนุพันธ์ไม่ให้ตนเองได้รับผลกระทบจากราคาตลาดที่ปรับขึ้นลง แต่ในเหตุการณ์ Liquidation ที่เกิดขึ้นนั้น เปรียบเสมือน Black swan ที่ไม่มีคนคาดคิดว่าจะเกิด รวมไปถึง MMs เองที่อาจจะยังไม่ได้ทำการ Hedging พอร์ตของตนให้พร้อมกับขาลงรุนแรง ทำให้ทางเดียวที่ MMs จะรอดพ้นจากการขาดทุนรุนแรงคือการถอดสภาพคล่องทั้ง Bid และ Offer ออก ทำให้เกิดเป็นโดมิโน่ของการ Liquidate คือ (1)นักลงทุนโดน Liquidate จากการโลภวาง Long position ปริมาณสูง (2)MMs ทำการถอนสภาพคล่องทำให้ราคาไหลลงเร็วและแรงกว่าปกติ และ (3)บาง Exchange ระบบการทำงานขัดข้องและการตั้ง Stop loss ไม่ทำงานทำให้มีคนบางส่วนถูก Liquidate ซ้ำตามมา ผลคือราคา BTC รูดลงจาก 122k สู่ 107k หรือติดลบ 12% และ Altcoins หลายเหรียญปรับตัวลงกันมากกว่า 50% ภายในชั่วข้ามคืนผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อจากนี้คือ

สภาพคล่องจากนักลงทุนรายย่อยหายไปจากตลาด 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีผลพอสมควรต่อ Altseason ที่เคยคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 และกระแส (Narrative) ที่เคยคาดหวังกันมาส่วนใหญ่ถูกรีเซ็ตต้องนับหนึ่งกันใหม่

จับตาการเกิดการล้มแบบโดมิโน่ของโปรเจกต์ต่าง ๆ โดยปัจจุบันผู้เขียนยังให้น้ำหนักโอกาสเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวค่อนข้างต่ำ จากผลกระทบส่วนใหญ่รอบนี้กระจุกอยู่ในนักลงทุนที่ใช้ Leverage และ MMs ซึ่งเป็นลักษณะเจ็บแล้วจบไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องกับโปรเจกต์อื่น ๆ แตกต่างจากการล้มของ Luna และ FTX ที่มีลักษณะเชื่อมโยงกับหลายบริษัทเช่น 3AC, Celsius network หรือ Voyager Digital ทำให้เกิดการล้มแบบโดมิโน ทั้งนี้แม้ว่าปัจจัยเฉพาะตัวของคริปโทฯ จะถูกฉุดให้สะดุดอยู่บ้างในช่วงต้นไตรมาส แต่หากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้ลุกลามเป็นโดมิโน่อย่างที่คาดการณ์ ยังมองภาพปลายไตรมาสเป็นการรีบาวนด์และกลับมาเป็นขาขึ้นได้ 

จาก (1) การพบกันระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง ที่งาน APEC ปลายเดือนนี้ ที่อิงจากอดีตแล้วทุกการเจอกันของ 2 ผู้นำมักจะนำพามาซึ่งดีลหรือข้อตกลงบางอย่างที่ส่งผลบวกต่อตลาด (2) การส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของเฟด ที่เริ่มพูดถึงการเลิกใช้การดูดสภาพคล่องกลับ (Quantitative Tightening) (3) การอนุมัติ ETFs อื่น ๆ นอกเหนือจาก BTC และ ETH และ (4)กลุ่มบริษัทที่ซื้อคริปโทฯ (Digital Asset Treasury Companies) ยังซื้อทั้ง BTC และ ETH อย่างต่อเนื่อง

*หมายเหตุ คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้