สถานการณ์ล่าสุดของ Bitcoin หลังเหตุการณ์ Deleveraging

สถานการณ์ล่าสุดของ Bitcoin หลังเหตุการณ์ Deleveraging

Bitcoin เผชิญการ Deleveraging ครั้งใหญ่ในตลาดฟิวเจอร์ส (มูลค่าสัญญากว่า $1.9 หมื่นล้านถูกชำระ) หลังทำราคาสูงสุดใหม่ ซึ่งเป็นการ "reset" ตลาดโดยกำจัดเลเวอเรจส่วนเกินออกไป

KEY

POINTS

  • Bitcoin เผชิญการ Deleveraging ครั้งใหญ่ในตลาดฟิวเจอร์ส (มูลค่าสัญญากว่า $1.9 หมื่นล้านถูกชำระ) หลังทำราคาสูงสุดใหม่ ซึ่งเป็นการ "reset" ตลาดโดยกำจัดเลเวอเรจส่วนเกินออกไป
  • ข้อมูล On-chain ชี้ว่ากิจกรรมบนเครือข่ายยังคงสูง และปริมาณการซื้อขายในตลาด spot พุ่งขึ้นสูงสุดในรอบปีช่วงราคาปรับฐาน สะท้อนถึงแรงซื้อขายที่ยังคงหนาแน่น
  • พบสัญญาณนักลงทุนสถาบันในสหรัฐฯ (ผ่าน Coinbase) เข้าช้อนซื้อสวนแรงขาย และปริมาณ Stablecoin บน Exchange เพิ่มขึ้น บ่งชี้การเตรียมพร้อมเข้าซื้อในช่วงราคาปรับตัวลง
  • การปรับฐานครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการลดระดับ leverage มากกว่าการเทขายของนักลงทุนส่วนใหญ่ เนื่องจากแรงขายสุทธิในตลาด spot ไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต
  • ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับทองคำพุ่งสูงสุดในรอบหลายปี (correlation 0.9) ตอกย้ำสถานะ "Digital Gold" ท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัจจัย Macroeconomics
  • ผู้เชี่ยวชาญมองว่าการล้างเลเวอเรจเป็น "Healthy reset" ที่ดีต่อเสถียรภาพตลาดระยะยาว โดยข้อมูลชี้ว่านักลงทุนรายใหญ่และสถาบันยังคงทยอยสะสม
  • กลยุทธ์ในระยะกลาง-ยาวอาจพิจารณาช่วงพักฐานนี้เป็นโอกาสทยอยเข้าสะสม (DCA) โดยอิงจากสถิติเชิงบวกของราคาในอดีตช่วงครึ่งหลังของเดือนตุลาคม (Uptober)
  • การฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในอนาคตยังต้องรอ Catalyst ใหม่ๆ ซึ่งได้แก่ แรงซื้อจากสถาบันที่กลับมาอย่างมั่นคง, ความชัดเจนด้านกฎระเบียบ และเสถียรภาพของเศรษฐกิจมหภาค

Bitcoin เพิ่งทำสถิติราคาสูงสุดใหม่ที่ราคา $126,000 ก่อนจะเผชิญกับการปรับฐานรุนแรงจากแรงกดดันด้าน Macroeconomics และการ Deleveraging ครั้งใหญ่ในตลาดฟิวเจอร์ส (มูลค่าสัญญาถูกชำระไปกว่า $1.9 หมื่นล้าน ภายในชั่วข้ามคืน) เหตุการณ์นี้นับเป็นหนึ่งในครั้งที่ตลาดถูกชำระล้างสัญญาเป็นมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Bitcoin ส่งผลให้ตลาดเข้าสู่ภาวะ “reset” โดยแน่นอนว่าเลเวอเรจส่วนเกินถูกกำจัดออกไป ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเข้าสู่ risk-off mode และทิศทางการฟื้นตัวต่อจากนี้จะขึ้นอยู่กับแรงซื้อรวมถึง Catalyst สดใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาด 

บทความนี้จะวิเคราะห์สถานการณ์ล่าสุดของ Bitcoin ทั้งในมุมของข้อมูล on-chain และภาพรวมตลาด หลังผ่านพ้นเหตุการณ์ deleveraging ครั้งใหญ่ รวมถึงแนวโน้มกลยุทธ์การลงทุน/การเทรดในระยะสั้นและกลางที่ควรพิจารณา

สถานการณ์ On-Chain ของ Bitcoin Network 

on-chain activity ของ Bitcoin ยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วงหลังเหตุการณ์ปรับฐานใหญ่ของราคา BTC สะท้อนว่าผู้ใช้งานยังคงทำธุรกรรมอย่างต่อเนื่องบนเครือข่าย นอกจากนี้ปริมาณการซื้อขายใน spot market ก็พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดของรอบปีช่วงที่ราคาดิ่ง (มูลค่าการซื้อขาย spot สูงถึง $4.4 หมื่นล้านในวันเดียว) สะท้อนถึงแรงซื้อขายที่ยังคงปริมาณมากขณะที่นักลงทุนเร่งปรับพอร์ตท่ามกลางความผันผวนของราคา 

หากมาดูที่สัญญาณ fundflows ของเงินทุนเผยให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ต่างกันระหว่างกระดานซื้อขาย ในช่วงที่ราคาผันผวนมากที่สุด Binance มีแรงขายสุทธิเกิดขึ้นจำนวนมาก ส่วนฝั่ง Coinbase กลับเห็นแรงซื้อสุทธิกลับเข้ามา ชี้ว่านักลงทุนสถาบันในสหรัฐฯ 

เข้าดูดซับแรงขายบางส่วนไว้ในช่วงการปรับฐานครั้งนี้

โดยรวมแล้วพบว่าแรงขายสุทธิทั่วทั้งตลาดไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์การเทขายฝั่ง spot market ในช่วงเดือน ก.พ. 25 ที่ผ่านมา ซึ่งหมายความว่าการย่อตัวรอบนี้เป็นการลดระดับ leverage แบบเฉพาะจุดมากกว่าที่จะเป็นการเทขายของนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาด

นอกจากนั้น ช่วงหลังการปรับฐานของราคายังเห็นสัญญาณหนึ่งที่ชัดเจน นั่นคือการที่ระดับ stablecoin บน exchange ต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ซึ่งอาจบ่งชี้ได้ว่าเป็น action ของนักลงทุนที่เตรียมพร้อมสำหรับการเข้าเก็บของในช่วงที่ราคาสินทรัพย์ย่อตัว (มูลค่า USDT เพิ่มขึ้นถึง $1.5 หมื่นล้าน ในรอบ 60 วันที่ผ่านมา)

บรรยากาศความเชื่อมั่นนักลงทุนโดยรวมอยู่ในโหมดระมัดระวัง การที่ระดับราคาของ BTC ยังคงประคองต่อได้ที่บริเวณ $109k-$110k ชี้ว่ามีแรงซื้อที่เข้ามาประคองราคาไว้ในโซนแนวรับทางจิตวิทยาที่สำคัญ สะท้อนถึงความพยายามของตลาดที่ยังไม่ยอมให้ราคาหลุดต่ำกว่าช่วงราคานนี้ไปง่ายๆในภาวะที่ปัจจัยบวกยังมีจำกัด ข้อมูลที่น่าสนใจตอนนี้คือ ความสัมพันธ์ของ Bitcoin กับทองคำ โดยระดับ correlation ระหว่าง BTC กับทองคำล่าสุดพุ่งแตะ 0.9 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี ท่ามกลางนักลงทุนที่ยังคงมองหาสินทรัพย์ที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หนุนมุมมอง “Digital Gold” ยังคงเป็น narrative ที่ไม่ตายหายไปในในภาวะที่ตลาดการเงินผันผวน

นักวิเคราะห์บางรายยังตั้งข้อสังเกตว่าบ่อยครั้งเมื่อทองคำปรับขึ้นแรงจนแตะจุดพีค เงินทุนบางส่วนมักจะหมุนเวียนจากทองคำมายัง Bitcoin ต่อในภายหลัง หากรูปแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ก็จะเป็นแรงส่งบวกต่อราคา BTC ในระยะถัดไปด้วย

ปัจจัยทาง Macroeconomics

บรรยากาศภาพ Macroeonomics ยังคงมีผลมากต่อการเคลื่อนไหวของตลาดระยะนี้ โดยเฉพาะประเด็น overhang อย่าง trade tariff ที่ยังไม่ได้ข้อสรุประหว่าง 2 ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนและสหรัฐฯ นอกจากนั้นความล่าช้าในการเปิดเผยข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ถูกเลื่อนออกไป ผลจาก US government shutdown ก็ยังเป็นประเด็นให้ตลาดกังวลถึงความไม่แน่นอนในด้านการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด

แต่ขณะเดียวกัน Dollar Index ที่เริ่มชะลอการแข็งค่าเมื่อทิศทางดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง ก็เป็นอีกหนึ่งแรงบวกเพิ่มเติมต่อราคา Bitcoin ในฐานะสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อที่น้อยกว่า

แนวโน้มกลยุทธ์และการบริหารความเสี่ยงหลังการ Deleveraging

หลังการล้างเลเวอเรจครั้งใหญ่ ตลาดเข้าสู่ช่วงพักฐานซึ่งถูกนิยามด้วยบรรยากาศการลงทุนที่ระมัดระวังและการปรับลดความเสี่ยงที่รอบคอบมากขึ้นทั้งในตลาด spot และ leverage ผู้เชี่ยวชาญมองว่านี่เป็น “Healthy reset” ต่อสุขภาพตลาดระยะยาว ที่ช่วยลด leverage position ส่วนเกินและความร้อนแรงเกินไปของตลาด หนุนให้โครงสร้างตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น แม้ผู้เล่นในกลุ่ม speculate บางส่วนจะโดนกวาดล้างออกจากตลาดไป แต่กลุ่มทุนรายใหญ่และแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันยังคงอยู่ ข้อมูลชี้ว่านักลงทุนรายใหญ่ยังทยอยสะสม BTC, ปริมาณ stablecoin ในระบบสูงขึ้นเช่นกัน และกองทุน Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ มีเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันที่ยังคงแข็งแกร่งแม้เจอการปรับฐานที่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว

เราอาจสรุปได้ว่า demand ระยะยาวของ Bitcoin จึงยังไม่หายไปไหน ทำให้นักลงทุนระยะกลาง-ยาวหลายรายมองช่วงพักฐานนี้เป็นโอกาสทยอยเข้าสะสม เช่นอาจใช้กลยุทธ์ DCA สถิติในอดีตยังพบว่าช่วงครึ่งหลังเดือนต.ค. ราคา BTC มักให้ผลตอบแทนเป็นบวก ตามธีมของ Uptober เช่น ปี 2024 Bitcoin พุ่งขึ้น +16% หลังผ่านช่วงกลางเดือนต.ค., ปี 2023 ราคาเพิ่มขึ้นถึง +29% ในช่วงเดียวกัน หากปีนี้เกิดรูปแบบของราคาที่คล้ายคลึงกัน แน่นอนว่าราคามีโอกาสกลับฟื้นตัวขึ้นมาได้ในช่วงปลายเดือนต.ค.หรืออาจคาดหวังได้ในช่วงต้นไตรมาสถัดไป

ดังนั้น สำหรับนักลงทุนระยะกลาง การรอเข้าสะสมสินทรัพย์พื้นฐานดีในช่วงที่ตลาดยังกังวล อาจเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสม แต่ทั้งนี้การทยอยเข้าสะสมควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปและเผื่อสภาพคล่องไว้เพราะไม่มีสิ่งใดยืนยันว่าตลาดจะกลับเข้าสู่ขาขึ้นได้ทันที อาจต้องรอ Catalyst ใหม่ๆ อันประกอบด้วย 3 ปัจจัย ได้แก่ แรงซื้อที่กลับมาอย่างมั่นคงจากสถาบัน, ความชัดเจนด้านข้อกฎหมายของตลาดคริปโต, รวมถึงปัจจัยที่สำคัญที่สุดนั่นคือเสถียรภาพในองค์รวมของเศรษฐกิจ เพื่อยืนยันการฟื้นตัวที่ยั่งยืนอีกครั้ง