เมื่อ 'บิตคอยน์' ดิ่งแรง สะท้อนตลาด ‘คริปโท’ เปราะบาง ลบภาพ 'สินทรัพย์ปลอดภัย'

เมื่อราคา ‘บิตคอยน์’ ดิ่งแรงกว่า 14% จากนิวไฮ ลามฉุดสเตเบิลคอยน์ หลุดการตรึงราคา สะท้อนตลาด ‘คริปโทเคอร์เรนซี’ เปราะบาง สั่นคลอนความเชื่อ 'สินทรัพย์ปลอดภัย' ท่ามกลางความเสี่ยงเก็งกำไร
ตลาดสกุลเงินดิจิทัลเผชิญกับการเทขายครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทำให้มูลค่าตลาดรวมหดตัวลงถึง 600,000 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้ตอกย้ำถึงความ “เปราะบาง” ของโครงสร้างตลาด และทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อสถานะของ “บิตคอยน์” (Bitcoin) ในฐานะ "ทองคำดิจิทัล" หรือสินทรัพย์ปลอดภัย
หลังบิตคอยน์ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 126,183 ดอลลาร์ต่อ 1 เหรียญบิตคอยน์ เมื่อต้นเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ราคาก็ร่วงลงราว 14% พร้อมกับเหรียญอีเธอเรียม (Ethereum) ก็ลดลง 10% ทำให้มูลค่าตลาดรวมของคริปโทเคอร์เรนซี ทั้งหมดลดลงจาก 4 ล้านล้านดอลลาร์ เหลือ 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ ตามการรายงานของเว็บไซต์ CoinMarketCap
สำนักข่าวนิกเคอิเอเชียรายงานว่า ปัจจัยเร่งให้เกิดการร่วงลงอย่างรุนแรง คือ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแผนขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน 100% เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ซึ่งทำให้บิตคอยน์ร่วงลงอย่างหนัก และแตกต่างจาก “ราคาทองคำ” ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาเดียวกัน
บิตคอยน์ร่วง ทุบพอร์ตแตก
ยูยะ ฮาเซกาวะ นักวิเคราะห์ตลาดจาก Bitbank อธิบายว่า ในช่วงที่ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นสูงนั้น ตลาดเต็มไปด้วย นักลงทุนที่ใช้การซื้อขายแบบมาร์จิน หรือการใช้เงินกู้/เลเวอเรจ ซึ่งทำให้นักลงทุนสามารถซื้อขายสินทรัพย์ได้ในมูลค่าที่มากกว่าเงินสดหรือ Stablecoin ที่เหล่านักลงทุนใช้เป็นหลักประกัน
เมื่อมูลค่าบิตคอยน์ลดลงอย่างรวดเร็ว และรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนถึง 1.62 ล้านคน ถูกบังคับขายสินทรัพย์ (Liquidation) รวมมูลค่าสูงถึง 1.91 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจาก Margin Call หรือหลักประกันไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ โดยข้อมูลจาก CoinGlass ชี้ว่า มูลค่าการบังคับขายครั้งนี้สูงกว่าวิกฤติคริปโทเคอร์เรนซีที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น ช่วงที่ตลาด FTX ล้มละลายในปี 2565 หรือช่วงโควิด-19
ท่ามกลางภาวะราคาตกต่ำ หนึ่งใน Stablecoin ที่ผูกกับดอลลาร์ อย่าง “USDe” ได้ประสบปัญหา "Depegging" หรือการหลุดจากการตรึงราคา โดยปกติ USDe ควรมีมูลค่า 1:1 กับดอลลาร์ แต่ราคาได้ลดลงไปเหลือเพียง 65 เซนต์ ในช่วงสั้นๆ
เมื่อมูลค่าของ Stablecoin ที่ใช้เป็นหลักประกัน ลดลง ก็ยิ่งทำให้นักลงทุนถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์ที่ถือครองออกไปมากขึ้น การที่ Stablecoin ซึ่งควรจะรักษามูลค่าให้คงที่กลับหลุดราคา ยิ่งกระตุ้นให้เกิดการบังคับขายอย่างรวดเร็ว และรุนแรง ส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ดิ่งลงไปอีก อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่แท้จริงของ USDe ยังไม่เป็นที่ชัดเจน
กังวลนักลงทุนรายใหญ่ ปั่นตลาด
นักลงทุนในตลาดต่างกังวลมากขึ้นเมื่อรู้ว่า นักลงทุนรายใหญ่เป็นผู้ขับเคลื่อนตลาดเป็นหลัก
ข้อมูลประวัติการทำธุรกรรมบนบล็อกเชนยังแสดงให้เห็นว่า มีนักลงทุนรายหนึ่งได้เปิด “สถานะขายชอร์ต” จำนวนมหาศาล ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศแผนภาษีจีน ซึ่งจังหวะที่ลงตัวนี้ทำให้นักลงทุนรายดังกล่าวมีโอกาสทำกำไรได้อย่างมหาศาลในช่วงที่ราคา Bitcoin ร่วงลงอย่างรุนแรง
หัวหน้าผู้จัดการของ SBI VC Trade กล่าวว่า จังหวะเวลาที่นักลงทุนรายใหญ่เปิดสถานะขายชอร์ตนั้น "ลงตัวอย่างยิ่ง" จนทำให้เกิดการคาดเดา และข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงบนโซเชียลมีเดีย ว่าอาจเป็นการซื้อขายของบุคคลที่รู้แผนการของประธานาธิบดีทรัมป์ล่วงหน้า
นอกจากนี้ นักลงทุนรายนี้ยังกลับมาเปิดสถานะขายชอร์ตอีกครั้ง ซึ่งยิ่งทำให้เกิด "ความกังวลเกี่ยวกับการซื้อขายโดยบุคคลภายใน" แพร่กระจายอย่างคลุมเครือไปทั่วตลาดคริปโทเคอร์เรนซี
ที่ผ่านมา ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีเคยเผชิญกับวิกฤติความเชื่อมั่นมาแล้วหลายครั้ง เช่น ในปี 2565 ที่เหรียญ Stablecoin ชื่อ TerraUSD สูญเสียการผูกมูลค่ากับดอลลาร์ และตามมาด้วยการล่มสลายของกระดานเทรด FTX ซึ่งส่งผลให้ราคาบิตคอยน์ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งปีครึ่ง กว่าจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับเดิมได้
แม้ว่า USDe จะสามารถฟื้นตัว และกลับมามีเสถียรภาพด้านราคาได้แล้ว และหลายฝ่ายมองว่าสถานการณ์นี้จะไม่รุนแรงเท่ากับกรณี TerraUSD แต่เหตุการณ์ล่าสุดได้ตอกย้ำให้เห็นถึง “อันตรายจากการเก็งกำไร” และ ความเปราะบางของโครงสร้างตลาด ซึ่งหมายความว่าตลาดอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะกลับมาอย่างเต็มที่
อ้างอิง Nikkei
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







