‘คริปโท’ พลิกขุมทรัพย์อาณาจักร ‘ทรัมป์’ ทำเงิน 1,000 ล้านดอลลาร์ เข้ากระเป๋า

‘คริปโท’ พลิกขุมทรัพย์อาณาจักร ‘ทรัมป์‘ ทั้ง NFT สเตเบิลคอยน์ เหรียญมีม แพลตฟอร์ม DeFi ทำเงินกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ โกยความมั่งคั่งเข้ากระเป๋า
สู่การถูกตั้งคำถาม นโยบายเอื้อประโยชน์ส่วนตัว?
ในช่วงปีที่ผ่านมา “โดนัลด์ ทรัมป์” และครอบครัวของเขากวาดรายได้จาก สกุลเงินดิจิทัล ไปแล้วกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ โดยรายได้จำนวนมหาศาลนี้เกิดขึ้นท่ามกลางอุตสาหกรรมคริปโทที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด และแรงหนุนจากนโยบายของรัฐบาลทรัมป์เองที่เอื้อประโยชน์ต่อคริปโท
อาณาจักร ‘คริปโท’ ของทรัมป์
แม้ว่าทรัมป์จะยืนยันว่า “ได้ถอยห่างจากธุรกิจของเขานับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง” โดยโอนผลประโยชน์ทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การดูแลของลูกชาย แต่เสียงวิจารณ์จากหลายฝ่ายชี้ว่า การกระทำของเขานั้น ไม่เหมือนประธานาธิบดีคนใดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เนื่องจากมีการผสมผสานธุรกิจและการเมืองในลักษณะที่อาจละเมิดรัฐธรรมนูญสหรัฐ และคุกคามรากฐานของประชาธิปไตย
การเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางธุรกิจมากมาย รวมถึงการลงทุนร่วมทุนในสกุลเงินดิจิทัล ทำให้เขามักถูกกล่าวหาเรื่อง ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และ “การแสวงหากำไรจากการดำรงตำแหน่ง”
เพียง 7 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดี ตระกูลทรัมป์ได้กระโดดเข้าสู่ อุตสาหกรรมคริปโท อย่างเต็มตัว โดยเปิดตัวแพลตฟอร์มคริปโทของตนเองชื่อว่า World Liberty Financial (WLFI) โดยมีลูกชายของทรัมป์ร่วมกับ สตีฟ วิทคอฟฟ์ ที่ปรึกษาคนสนิทมาร่วมเป็นหุ้นส่วน
สำหรับโมเดลธุรกิจของแพลตฟอร์มนี้ คือการขายโทเค็นให้นักลงทุน โดย 75% ของกำไรจากการขายแต่ละครั้งจะตกเป็นของตระกูลทรัมป์
รายงานของ Financial Times (FT) ได้รวบรวม “อาณาจักรคริปโท” ของทรัมป์และครอบครัวในรูปแบบต่างๆ ที่กำลังเป็นหัวใจสำคัญของความมั่งคั่ง ที่ดึงดูดเงินจำนวนมากจากนักลงทุนและมหาเศรษฐีต่างชาติ
- การ์ดสะสมดิจิทัล (NFTs): รูปภาพของทรัมป์ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สวมผ้าคลุมซูเปอร์ฮีโร่ เพื่อล้อเลียนการเมือง
- เหรียญมีม (Memecoins): เช่น เหรียญ $TRUMP ซึ่งมีมูลค่าจากการเก็งกำไร และเหรียญมีม MELANIA ที่สร้างรายได้รวม 427 ล้านดอลลาร์
- สเตเบิลคอยน์(Stablecoins) การเมือง “USD1” ที่ตรึงมูลค่าไว้กับดอลลาร์ ได้กลายเป็นทางเลือกเสมือน “ดอลลาร์ฝั่งขวา” ทำยอดขายกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ภายในไม่กี่เดือนแรก และทำกำไร 42 ล้านดอลลาร์
- โทเค็นและแพลตฟอร์ม DeFi เช่น World Liberty Financial (WLFI) ซึ่งร่วมก่อตั้งโดย เอริก และ ดอน จูเนียร์ ทรัมป์ ที่อยู่เบื้องหลังโทเคน WLFI ซึ่งเปิดตัวเมื่อ ก.ย. 2025 และแม้ราคาจะตกกว่า 57% จากจุดสูงสุด แต่กลับทำกำไรให้ทรัมป์ได้ถึง 550 ล้านดอลลาร์
หากคำนวณรายได้โดยประมาณจากสินทรัพย์เหล่านี้ถือว่าเป็นจำนวนเงินมหาศาลกว่า 1,019 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขจริงๆ อาจจะมากกว่านี้ ตามที่ “เอริก ทรัมป์” ได้บอกกับ FT ว่า ตัวเลขจริง "อาจจะมากกว่านี้"
นอกจากนี้ บริษัท Trump Media & Technology Group (TMTG) ที่ทรัมป์ถือหุ้นอยู่ 53% เคยขาดทุนหนักจากโซเชียลมีเดีย Truth Social กว่า 401 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ปีนี้กลับพลิกมาเป็นเครื่องผลิตเงินด้วยการถือ Bitcoin และเหรียญคริปโทหลัก พร้อมกับเปิดรับ WLFI และ USD1 เข้าระบบของแพลตฟอร์ม ซึ่งทำให้รายได้แตะ 3 พันล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก
ไหนว่า Bitcoin เป็นการหลอกลวง?
ทรัมป์ เคยเป็นอดีตผู้ที่มองสกุลเงินดิจิทัลในแง่ลบ โดยถึงกับเคยเรียก Bitcoin ว่าเป็น "การหลอกลวง" ในปี 2021 แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเขาเริ่มหาเสียงในปี 2024 หลังจากที่ทรัมป์ได้พบกับกลุ่มล็อบบี้คริปโตผู้ทรงอิทธิพล และในเดือนก.ค. ก็ประกาศในการประชุมของกลุ่มว่า หากได้รับเลือกอีกครั้งจะบริหารประเทศด้วย นโยบายที่ “เป็นมิตรกับคริปโท”
จากนั้น ทรัมป์ได้ดำเนินนโยบายที่ส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมคริปโทมากมาย
- การจัดตั้งหน่วยสำรองบิตคอยน์แห่งชาติ
- แต่งตั้งผู้นำที่เป็นมิตรกับคริปโท ในหน่วยงานกำกับดูแลสำคัญ เช่น สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ทำให้เกิดการยุติการสอบสวนบริษัทคริปโทขนาดใหญ่
- สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมลดการสอบสวน บริษัทคริปโท
- อนุญาตให้ชาวอเมริกันลงทุนเงินออมเพื่อการเกษียณ บางส่วนในคริปโท
- ยกเลิกข้อจำกัด การมีส่วนร่วมของธนาคารกระแสหลักในภาคส่วนนี้
หวังใช้บารมีทรัมป์ดูดเงินทุน สู่ ‘ ผลประโยชน์ทับซ้อน‘
แม้ว่า เอริก ทรัมป์ เคยให้คำมั่นไว้เมื่อปีที่แล้วว่าจะต้องมี "กำแพงขนาดใหญ่มาก" กั้นระหว่างธุรกิจของครอบครัวกับรัฐบาลสหรัฐ แต่ลูกชายของ ทรัมป์ กลับใช้ตำแหน่งของบิดาในการแสวงหาผลประโยชน์อย่างเปิดเผยที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ทั้งการเดินทางไปประชุมที่อาบูดาบี, ฮ่องกง, สิงคโปร์ และเมืองอื่น ๆ เพื่อกล่าวถึงข้อดีของสกุลเงินดิจิทัลและแสวงหาการลงทุนสำหรับธุรกิจคริปโทของตนเอง
โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ได้เน้นย้ำถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของรัฐบาลทรัมป์ในอุตสาหกรรมคริปโท โดยกล่าวในการประชุม Bitcoin ที่ลาสเวกัสในเดือนพ.ค.ว่า ผู้ที่ออกกฎหมายคริปโทในตอนนี้ "ลงทุนใน (คริปโท) ด้วยตัวเอง" พร้อมเสริมว่า "นั่นเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับชุมชน"
รวมทั้ง การคาดการณ์ที่เกินจริง โดยเอริก ทรัมป์ ได้รับรองกับนักเก็งกำไรคริปโทว่ารัฐบาลจะกักตุน "บิตคอยน์จำนวนมหาศาล" และยังคาดการณ์ว่า บิตคอยน์หนึ่งเหรียญ ซึ่งขณะนั้นมีมูลค่าประมาณ 110,000 ดอลลาร์) จะสูงถึงหนึ่งพันล้านดอลลาร์ ในสักวันหนึ่ง
แม้ว่าผู้สนับสนุนจะยืนยันว่า ทรัมป์ทำตามที่กฎหมายกำหนดทุกอย่าง เนื่องจาก ไม่มีกฎหมายว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งประธานาธิบดี และลูกชายของเขาเป็นผู้บริหารจัดการธุรกิจ ไม่ใช่ตัวทรัมป์เอง แต่ฝ่ายนักวิจารณ์ยังคงยืนยันว่า "ไม่มีใครทำแบบนี้หรอก" การใช้ตำแหน่งสาธารณะเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แทนที่จะใช้เพื่อผลประโยชน์สาธารณะ คือหัวใจหลักของปัญหาจริยธรรมที่กำลังเกิดขึ้น







