‘Strong Dollar Dilemma’ สิ่งที่สหรัฐต้องเจอหากใช้ Stablecoins ลดหนี้

ทรัมป์ต้องการใช้ Stablecoints ลดภาระหนี้ของประเทศ แต่อะไรคือสิ่งที่ต้องแลกมา...
KEY
POINTS
- สหรัฐกำลังพิจารณาใช้ Stablecoins ที่หนุนด้วยพันธบัตรรัฐบาลเป็นเครื่องมือในการลดต้นทุนการกู้ยืมของประเทศ โดยการเพิ่มความต้องการซื้อพันธบัตรจะช่วยกดดันให้อัตราผลตอบแทนต่ำลง
- หาก Stablecoins ได้รับความนิยมจากต่างชาติ จะทำให้ความต้องการเงินดอลลาร์เพิ่มสูงขึ้นเพื่อใช้ในการซื้อเหรียญ
- ความต้องการเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งทำให้สินค้าอเมริกันมีราคาแพงขึ้นในตลาดโลก และสินค้านำเข้าถูกลง
- สิ่งนี้จะนำไปสู่การขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับนโยบาย "America First" ของรัฐบาลทรัมป์ที่ต้องการลดการขาดดุลการค้า
สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สาธารณะที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทำให้ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังในฐานะผู้รับผิดชอบโดยตรงอาจ “นอนไม่หลับ” รัฐบาลต้องการจ่ายดอกเบี้ยของการกู้ยืมสุทธิทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2026 ขณะที่การขาดดุลงบประมาณปัจจุบันอยู่ที่ 7% ของจีดีพี ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (บอนด์ยีลด์) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้สมการการเงินการคลังของอเมริกาดูเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลจึงต้องหาทางออกที่ไม่ต้องลดรายจ่ายหรือเพิ่มภาษี
แนวคิดการใช้ Stablecoins: ทางออกใหม่สำหรับปัญหาเก่า
บทวิเคราะห์ "Stablecoins might cut America’s debt payments. But at what cost?" ของดิอีโคโนมิสต์ ให้ข้อมูลว่า รัฐบาลทรัมป์มองว่า Stablecoins ซึ่งเป็นเหรียญคริปโทที่หนุนด้วยสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น อาจเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของประเทศได้ กลไกการทำงานเริ่มจากการที่ Stablecoins ใช้พันธบัตรเป็นหลักประกัน ซึ่งจะเพิ่มความต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้จะผลักดันราคาพันธบัตรให้สูงขึ้นและลดอัตราผลตอบแทน ส่งผลให้รัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยหนี้น้อยลงในที่สุด
รวบรวมโดยกรุงเทพธุรกิจ
การศึกษาวิจัยหลายชิ้นสนับสนุนแนวคิดนี้ งานวิจัยของ Sang Rae Kim จากมหาวิทยาลัย Kyung Hee พบว่า การออก Tether เพิ่มขึ้นทำให้ราคาพันธบัตรสหรัฐสูงขึ้นในชั่วโมงถัดไป ขณะที่การศึกษาของ Rashad Ahmed และ Iñaki Aldasoro ประเมินว่า เงินไหลเข้า Stablecoins จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ สามารถลดอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 3 เดือนได้ถึง 0.05% ในช่วง 20 วันถัดไป นอกจากนี้ การศึกษาปี 2020 ยังพบว่า พันธบัตรสหรัฐ มูลค่า 6.1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ถือโดยต่างชาติ ช่วยลดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (neutral interest rate) ได้ประมาณ 0.5%
แนวโน้มการเติบโตและปัจจัยสนับสนุน
สถาบันการเงินชั้นนำคาดการณ์การเติบโตของตลาด Stablecoins ในแง่ดี Citigroup โดยคาดหวังว่า ตลาด Stablecoins จะขยายตัวจาก 2.57 แสนล้านดอลลาร์ปัจจุบัน เป็น 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ขณะที่ Standard Chartered คาดการณ์ในแง่ดียิ่งกว่า โดยเชื่อว่าจะถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเพียง 3 ปี
ปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนการเติบโตนี้คือกฎหมาย GENIUS Bill ที่กำลังผ่านการพิจารณาในสภาคองเกรส ซึ่งจะอนุญาตให้ใช้พันธบัตรสหรัฐ ที่ครบกำหนดใน 93 วันหรือน้อยกว่า เป็นหลักประกันได้ ความแน่นอนด้านกฎระเบียบนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการยอมรับ Stablecoins อย่างแพร่หลาย
ความเสี่ยงและข้อจำกัดที่สำคัญ
บทวิเคราะห์ของดิอีโคโนมิสต์ ระบุว่า แม้ Stablecoins จะมีศักยภาพในการช่วยลดต้นทุนหนี้ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านความเสถียรทางการเงินที่สำคัญ การเพิ่มสัดส่วนพันธบัตรระยะสั้นจะทำให้รัฐบาลเผชิญความเสี่ยงเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น เพราะผลกระทบจะส่งผ่านไปยังต้นทุนการกู้ยืมได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าในขณะนี้นักลงทุนคาดหวังให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลดดอกเบี้ยสองครั้งในปีนี้ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมได้เร็ว แต่เมื่อดอกเบี้ยขึ้นในอนาคต ผลกระทบก็จะเกิดขึ้นเร็วเช่นกัน
ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือเงินลงทุนหลายล้านล้านดอลลาร์จะไม่เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ หากเงินทุนมาจาก money-market funds รัฐบาลจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยเพราะเป็นเพียงการโยกเงินจากกองทุนหนึ่งไปอีกกองทุนหนึ่ง แต่หากเงินมาจากเงินฝากธนาคาร อาจกดดันสภาพคล่องของธนาคาร ทำให้ปล่อยสินเชื่อได้น้อยลง สถานการณ์นี้จะกลายเป็นการโยกผลประโยชน์ จากภาคเอกชนไปให้ภาครัฐ ไม่ใช่การสร้างประโยชน์ใหม่ให้เศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาในระยะยาวได้ในด้านของตลาดต่างประเทศ
แม้ความต้องการจากต่างประเทศจะช่วยได้บ้างและจะเป็นปัญหาน้อยกว่า เพราะ Stablecoins อาจมีประโยชน์มากที่สุดสำหรับนักลงทุนในตลาดเกิดใหม่ที่มีการควบคุมเงินทุน โดยการมี Stablecoins ที่เป็นดอลลาร์และหาได้ง่าย จะช่วยปกป้องนักลงทุนจากการที่รัฐบาลยึดทรัพย์สินและปัญหาเงินสกุลท้องถิ่นที่อ่อนค่าแต่ JPMorgan Chase ประเมินว่า เพียง 6% ของความต้องการ Stablecoins ปัจจุบันมาจากนักลงทุนประเภทนี้ และพวกเขาดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจความแน่นอนด้านกฎระเบียบที่มาจากกฎหมาย GENIUS bill
ความขัดแย้งทางนโยบาย: ‘Strong Dollar Dilemma’
บทวิเคราะห์ของดิอีโคโนมิสต์ สรุปทิ้งท้ายว่า รัฐมนตรีคลังต้องเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อแผนการใช้ Stablecoins เพื่อลดต้นทุนหนี้สาธารณะกลับไปขัดแย้งกับนโยบายหลักของรัฐบาลทรัมป์ หรืออธิบายง่ายๆ คือ
- ดอลลาร์ได้รับความนิยมขึ้น: หากคนต่างประเทศหันมาใช้ Stablecoins มากขึ้น พวกเขาจะต้องซื้อดอลลาร์เพิ่มขึ้นเพื่อแลกกับเหรียญดิจิทัลเหล่านี้
- คนอเมริกันซื้อของนอกประเทศมากขึ้น: ความต้องการดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เงินสกุลนี้แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้คนอเมริกันสามารถซื้อสินค้าจากต่างประเทศได้ถูกลง
- ขาดดุลพุ่ง: ขณะเดียวกันก็ทำให้สินค้าอเมริกันแพงขึ้นในตลาดโลก นำไปสู่การเพิ่มขึ้นของการขาดดุลการค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งโดยตรงกับเป้าหมาย "America First" ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการลดการขาดดุลการค้าและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของสินค้าอเมริกัน
จากปัญหาที่เล่ามาทั้งหมด รัฐมนตรีคลังสหรัฐตอนนี้จึงติดอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างการลดภาระหนี้ในระยะสั้นกับการรักษานโยบายการค้าระยะยาวของรัฐบาล






