เปิด ‘Pig Butchering’ ในโลกคริปโทเคอร์เรนซี กลยุทธ์ฟอกเงินปีละกว่า 8 แสนล้าน

ในยุคที่เทคโนโลยีทางการเงินเติบโตอย่างรวดเร็ว อาชญากรไซเบอร์ได้ปรับกลยุทธ์เพื่อใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเหล่านี้ โดยเฉพาะในโลกของ “คริปโทเคอร์เรนซี”
งานวิจัยล่าสุด “How Do Crypto Flows Finance Slavery? The Economics of Pig Butchering” ได้เปิดเผยขบวนการฉ้อโกงที่เรียกว่า “Pig Butchering” เลี้ยงหมูให้ตายใจแล้วค่อย “เชือด” ซึ่งใช้ “สกุลเงินดิจิทัล” ในการฟอกเงินนับหมื่นล้านดอลลาร์ในแต่ละปี นำไปสู่การตั้งคำถามถึงช่องว่างในการกำกับดูแลที่ยังไม่รัดกุมมากพอ จนกลายเป็นช่องโหว่ให้เกิดการหลอกลวง และช่องทางการเคลื่อนย้ายเงินทุนสีเทา
งานวิจัยนี้ได้ทำการติดตามการเคลื่อนไหวของเงินกว่า 9.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3 ล้านล้านบาท ที่หมุนเวียนอยู่บนบล็อกเชนของ Ethereum, Bitcoin และ Tron และพบข้อมูลที่น่าตกใจว่า กลุ่มนักต้มตุ๋นฟอกเงินเฉลี่ยปีละ 2.78 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8.8 แสนล้านบาท ในช่วงปี 2563-2566
‘Pig Butchering’ ล่อให้ตายใจก่อนเชือด
"Pig Butchering" คือ กลโกงออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่อาชญากรใช้หลอกลวงเหยื่อ โดยมักเริ่มต้นจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนเป็นความรักหรือมิตรภาพบนโลกออนไลน์ เมื่อเหยื่อหลงเชื่อใจแล้ว พวกมิจฉาชีพจะเริ่มชักจูงให้ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซี และเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและหลอกให้เหยื่อตายใจ กลุ่มมิจฉาชีพจะใช้วิธีส่งเงินจำนวนน้อยๆ เพื่อ "ชักจูง" ให้เหยื่อตายใจ
เหยื่อส่วนใหญ่ที่มักไม่มีความรู้เรื่องคริปโทเคอร์เรนซีจะถูกหลอกให้โอนเงิน เข้าไปยังแพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซีที่เป็นที่รู้จัก และน่าเชื่อถือในโลกตะวันตก เช่น Coinbase, Crypto.com และ Kraken ตามที่รายงานระบุ
กลไกการฟอกเงินของแก๊ง “เชือดหมู” มีรูปแบบที่ซับซ้อน และแยบยลมากกว่าที่เราคิด เริ่มจากการมีช่องทาง “ขาเข้า” จากฝั่งตะวันตก และใช้แพลตฟอร์มในเอเชียเป็นช่องทางการนำเงินออกจากระบบ
เงินของเหยื่อมักจะเริ่มต้นจากการถูกโอนเข้าสู่แพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรซีในฝั่งตะวันตกจากนั้นเงินจะถูกโอนต่อไปยังที่อยู่ของกลุ่มมิจฉาชีพ และเข้าสู่กระบวนการ “อำพราง” โดยใช้ Decentralized Exchanges (DEXs) หรือแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบกระจายอำนาจ
ธุรกรรมทั้งหมดบนแพลตฟอร์ม Tokenlon ในช่วงปี 2565-2565 นั้นเกี่ยวข้องกับเครือข่ายหลอกลวงนี้โดยตรง และสเตเบิลคอยน์อย่าง Tether (USDT) ถูกใช้เป็นเครื่องมือหลักในการปกปิดเส้นทางการเงิน โดยคิดเป็น 78% ของปริมาณธุรกรรมทั้งหมด
เมื่อทำให้เงิน และทำให้แหล่งที่มาไม่ชัดเจน เงินจำนวนมหาศาลเหล่านี้มักจะถูกส่งต่อไปยังแพลตฟอร์มเอ็กซ์เชนจ์แลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลขนาดใหญ่ใน “เอเชีย”
ข้อมูลชี้ว่ามีกระแสเงินออกเฉลี่ยสูงถึง 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี ไหลเข้าสู่บัญชีเงินฝากที่น่าสงสัยบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการใช้ประโยชน์จากช่องว่างทางกฎหมายที่ยังไม่แข็งแกร่งในบางพื้นที่ เพื่อฟอกเงิน และยังคงสามารถเข้าถึงสภาพคล่องจำนวนมากได้อย่างต่อเนื่อง
‘ต้นทุนการฟอกเงินต่ำ - ช่องโหว่เพียบ
มิจฉาชีพเลือกใช้คริปโทเคอร์เรนซีในการฟอกเงินด้วยเหตุผลหลัก 2 ประการคือ
1. “ต้นทุนที่ต่ำ” การทำธุรกรรมผ่านสกุลเงินดิจิทัลนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำมาก เฉลี่ยแล้วอยู่ที่เพียง 0.33% ของจำนวนเงินที่ถูกเคลื่อนย้าย ซึ่งถูกกว่าการลักลอบนำเงินสดข้ามพรมแดนแบบเดิมๆ ที่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงถึง 4-12%
2. “ช่องโหว่ด้านกฎระเบียบ” เพราะการทำธุรกรรมขนาดเล็กบนแพลตฟอร์มต่างๆ อาจจะเล็ดลอดสายตาหน่วยงานกำกับดูแล ทำให้เหล่ามิจฉาชีพจะไม่ถูกตรวจสอบ ซึ่งนี่เป็นข้อสังเกตที่แพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซี มีโอกาสที่จะตรวจจับหรือแจ้งเตือนถึงความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่ความเสียหายจะบานปลาย
สภาพคล่องสูงทำให้เอเชียถูกเลือก
“นเรศ เหล่าพรรณราย” นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทยมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มเอ็กซ์เชนจ์บางแห่งไม่มีผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากเอ็กซ์เชนจ์ที่เปิดดำเนินการในไทยทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เข้มงวด ทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจในความปลอดภัยได้
นอกจากนี้ เอ็กซ์เชนจ์ต่างประเทศหลายแห่งก็เริ่มให้ความสำคัญกับกฎระเบียบข้อบังคับมากขึ้น โดยเฉพาะก่อนที่จะขยายตลาดเข้าสู่ยุโรป และอเมริกา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มที่อุตสาหกรรมกำลังมุ่งไปสู่มาตรฐานที่สูงขึ้น
เป็นที่ทราบกันดีว่าแพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซีบางครั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน อย่างไรก็ตาม นเรศชี้ว่าปัญหาดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกตลาด และในปัจจุบัน เอ็กซ์เชนจ์หลายแห่งได้ให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือ “อินเตอร์โพล” เพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงินข้ามชาติเหล่านี้
เหตุผลหนึ่งที่เอเชียถูกเลือกให้เป็นปลายทางของการฟอกเงินผ่านคริปโทเคอร์เรนซีก็คือ เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีการใช้งานคริปโทเคอร์เรนซีสูงที่สุด และมีสภาพคล่องสูง ทำให้เงินสามารถหมุนเวียนได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดาย นอกจากนี้ แพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซียังมีช่องโหว่ที่กลุ่มมิจฉาชีพสามารถนำมาใช้ในการฟอกเงินได้
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย และเอเชียได้ตระหนักถึงปัญหานี้ และให้ความสำคัญกับ กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของ KYC ซึ่งเป็นกระบวนการยืนยันตัวตนของลูกค้า เพื่อป้องกันการฟอกเงิน และอาชญากรรมทางการเงินอื่นๆ การดำเนินการที่เข้มงวดขึ้นนี้จะช่วยลดความเสี่ยง และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในระยะยาว
ความเสี่ยง ‘คริปโทเคอร์เรนซีไทย’ ไม่ควรมองข้าม
งานวิจัยชิ้นนี้ได้เผยให้เห็นเรื่องสำคัญที่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีไทย และภูมิภาคไม่ควรมองข้ามถึงสองเรื่องด้วยกัน คือ ระบบการเงินที่ถูกเชื่อมโยงเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ และมิจฉาชีพ
การที่ประเทศไทยถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่กลุ่มอาชญากรใช้เป็นสถานที่สำหรับกักขัง และบังคับใช้แรงงานในแถบอาเซียน แม้ว่าจะไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้ แต่นี่ก็เป็นการเน้นย้ำให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของไทยควรให้ความสำคัญกับการสืบสวน และปราบปรามการค้ามนุษย์ที่เชื่อมโยงกับแก๊งอาชญากรรมไซเบอร์เหล่านี้อย่างจริงจัง
ขณะเดียวกัน การที่เงินจำนวนมหาศาลไหลผ่าน “แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่ในเอเชีย” โดยอาศัยประโยชน์จากสภาพแวดล้อมการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ก็ยังชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงในระดับภูมิภาค
ในรายงานระบุว่า สถาบันการเงิน และหน่วยงานกำกับดูแลของเอเชีย และไทยจำเป็นต้องหาทางปิดช่องโหว่นี้ และพิจารณาความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างมาตรการ ต่อต้านการฟอกเงิน และออกมาตรการ การลงทะเบียนผู้ใช้งาน (KYC) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดพักเงินหรือฐานปฏิบัติการของอาชญากรเหล่านี้
มี 3 สิ่งที่ไทย และหน่วยงานในภูมิภาคจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบ และการเฝ้าระวังในหลายด้าน คือ 1.การตรวจสอบธุรกรรมขาออก (Outbound KYT) 2.การเฝ้าระวังธุรกรรมขนาดเล็ก 3.การให้ความรู้แก่ประชาชน
Binance ร่วมต้านอาชญากรรมคริปโทเคอร์เรนซี
เมื่อเร็วๆ นี้ Binance แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำระดับโลก และ Gulf Binance ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทในเครือ Binance กับ Gulf Energy Development ได้ร่วมกันจัดการฝึกอบรมด้านการบังคับใช้กฎหมายครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในประเทศไทย ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้เชี่ยวชาญด้านบล็อกเชนกว่า 120 คนจากทั่วภูมิภาคเข้าร่วม
จาเร็ก จาคับเซก หัวหน้าฝ่ายฝึกอบรมการบังคับใช้กฎหมายของไบแนนซ์เน้นย้ำว่า การรักษาความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมดิจิทัลต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน โดยได้ยกตัวอย่างเรื่องราวอาชญากรรมไซเบอร์ในเอเชีย เมื่อชายวัย 90 ปีในรัฐคุชราต ประเทศอินเดีย ต้องสูญเงินกว่า 1.25 ล้านรูปี (ประมาณ 550,000 บาท) ให้กับมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย
แทร็กเส้นทางเงินผ่าน ‘บล็อกเชน’
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงที่หลบภัยของอาชญากรเท่านั้น หากแต่ยังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงินยุคใหม่ด้วย
หากมิจฉาชีพเคลื่อนย้ายเงินทุนด้วย “เงินสด” ทุกอย่างจะสูญหายไปเมื่อเปลี่ยนมือ แต่เทคโนโลยี “บล็อกเชน” ทำหน้าที่เหมือน สมุดบัญชีสาธารณะที่บันทึกทุกการทำธุรกรรมอย่างถาวร และตรวจสอบได้ ต่างจากเงินสดที่อาจหายไปได้ง่ายเมื่อมีการเปลี่ยนมือ ทำให้ทางการอินเดียสามารถ ติดตามเหรียญ USDT ที่ถูกขโมยไปได้ในคดีนี้
ด้วยความร่วมมือจากหน่วยข่าวกรองทางการเงิน (FIU) ของไบแนนซ์ และเจ้าหน้าที่ ทำให้สามารถระบุที่อยู่กระเป๋าเงินดิจิทัล ติดตามเส้นทางการทำธุรกรรม และระบุบัญชีที่ใช้เป็น “บัญชีม้า” ในที่สุด ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ก็ถูกจับกุม และมีการดำเนินการสืบสวนต่อไป
กองปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ของตำรวจเมืองอาห์เมดาบัด กล่าวว่า “คดีนี้แสดงให้เห็นว่าการหลอกลวงทางไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ และการร่วมมือกันข้ามประเทศเป็นสิ่งจำเป็น ด้วยความช่วยเหลืออย่างรวดเร็วจากทีมของไบแนนซ์ จึงสามารถติดตามเงินคริปโทเคอร์เรนซี ระบุผู้ต้องสงสัยหลัก และจับกุมได้อย่างรวดเร็ว”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







