‘บิทคับ’ ยกตลาดคริปโทโตเด่น ลุ้น ‘จีโทเคน’ จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ 

‘บิทคับ’ ยกตลาดคริปโทโตเด่น ลุ้น ‘จีโทเคน’ จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ 

“บิทคับ” เผยปีนี้ “สินทรัพย์ดิจิทัลไทย” กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ หลังรัฐบาลเตรียมออก “พันธบัตร” รูปแบบ “จีโทเคน” ถือเป็นครั้งแรกของโลก ที่รัฐสามารถทำธุรกรรมผ่าน “โทเคนดิจิทัล” ได้ถูกกฎหมาย ขณะเดียวกัน “ตลาดคริปโทเคอร์เรนซี” ระดับโลกก็ร้อนแรง ผ่านการอนุมัติ Bitcoin ETF และกระแส QE ของจีน ทำให้นักลงทุนจับตาทุกความเคลื่อนไหวให้ดี

นายพงศกร สุตันตยาวลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด เปิดเผยว่า ล่าสุดรัฐบาลไทยกำลังเตรียมออกพันธบัตรในรูปแบบของ G-Token ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าอย่างมาก และจะเป็นครั้งแรกของโลกที่รัฐบาลประเทศหนึ่งมีธุรกรรมที่เป็นโทเคนดิจิทัลที่ออกโดยรัฐบาลเอง ซึ่ง G-Token คาดว่าจะออกในช่วงเดือนสิงหาคม นี้ ข้อดีคือ เมื่อ G-Token หรือพันธบัตรรัฐบาลดิจิทัลของรัฐบาลออกมาแล้วจะเข้ามาทำการซื้อขายได้ที่ตลาดรอง

ขณะที่ ในปีนี้น่าจะได้เห็น “ไทยบาทดิจิทัล” ที่มีให้เห็นกัน ในรูปแบบของ “โทเคนดิจิทัล” ซึ่งจะทำให้รูปแบบขอการใช้เงินง่ายขึ้นเรื่องนี้ถือว่ามีความน่าสนใจและน่าติดตามเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลายคนอาจจะมองว่าการกำกับดูแลที่เข้มงวดเป็น “ข้อจำกัด” แต่ในมุมมองของผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรม กลับมองว่าเป็น “จุดแข็ง” เพราะมีแนวทางที่ชัดเจน ทำให้การลงทุนและการดำเนินธุรกิจในประเทศทำได้ง่ายขึ้น เนื่องจากทราบแนวทางที่ประเทศยอมรับและไม่ยอมรับ ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี

และในปีนี้ยังรอข่าวดีอยู่ข่าวหนึ่ง “เรื่องภาษีคริปโทเคอเรนซี่” โดยมีความหวังว่าจะได้รับ “การยกเว้นภาษีกำไรจากการซื้อขาย” เช่นเดียวกับหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งหลายฝ่ายกำลังพยายามผลักดันเรื่องนี้

ดังนั้น ปัจจุบัน Bitkub มีผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนแล้วประมาณ 5 ล้านคน และมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 2,000 ล้านบาทในวันธรรมดา ในช่วง “ตลาดขาขึ้น” (Bull Run) ปริมาณการซื้อขายเคยสูงถึง 18,000 ล้านบาทต่อวัน

ทั้งนี้ ไทยมีการเติบโตของผู้ถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลสูงมากโดยในปี 2567 อยู่ที่ 17.6% ของประชากร หรือประมาณ 16 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ และแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยอมรับและเปิดรับสินทรัพย์ดิจิทัลได้รวดเร็ว นอกจากนี้ยังพบว่า “ผู้ที่อายุ 45 ปีขึ้นไป” มีพอร์ตสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่กว่า “กลุ่มคนรุ่นใหม่”

ขณะที่ ในส่วนของภาพรวมและปัจจัยขับเคลื่อนตลาดโลกยังคงมีความกังวลและโอกาสในอนาคตต่อนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ ( Fed)  ซึ่ง ปัจจุบัน Fed พยายามดูดเงินเฟ้อออกจากระบบ ทำให้เงินในระบบน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคา Bitcoin ขณะที่ จีนจะเริ่มทำ QE หรือ มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณหรือไม่ เพราะหากจีนทำ QE จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Bitcoin ปรับตัวขึ้น และวิกฤติซูชิในญี่ปุ่นหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นสูงที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น หากเกิดวิกฤตินี้จริง จะมีขนาดใหญ่กว่าวิกฤติต้มยำกุ้งถึง 10 เท่า และตลาดอาจปรับตัวลงก่อน ซึ่งจะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อเพื่อทำกำไรเมื่อมีมาตรการทางการเงินอัดฉีดเข้ามาพยุงเศรษฐกิจ

ขณะที่ผ่านมา Bitcoin ETF กองทุนขนาดใหญ่อย่าง BlackRock และกองทุนอื่นๆ ได้รับอนุมัติ ETF แล้ว ทำให้มีเงินลงทุนไหลเข้าสู่ ETF สูงถึง 500% จากช่วงแรก ซึ่งการมี ETF ทำให้ Bitcoin มีความแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพมากขึ้น และคาดว่ามาร์เก็ตแคปของสินทรัพย์ดิจิทัลจะเติบโตขึ้นอีก 5 เท่าในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้ราคา Bitcoin อาจสูงถึง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 15 ล้านบาทต่อ 1 Bitcoin

“บิตคอยน์เป็นขาขึ้นเสมอ และแพทเทิร์นของ Bitcoin วัฏจักร 4 ปี จะเกิด Bitcoin Halving ตามมาด้วย Bull Run , Bear Market และตามมาด้วยการพักตัว วัฏจักรจะเป็นเช่น และ Bitcoin Halving ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปีที่ผ่านมา ฉะนั้นสิ่งที่ตลาดรองตอนนี้คือ Bull Run , Bear Market และตามมาด้วยการพักตัว ซึ่งการเกิด Bear Market จะอยู่ราว 1 ปีครึ่ง และหลังจากนั้นจะเกิดการพักตัวลงไปอีก 2 ปีกว่า”