‘กูรู’ ชี้เกณฑ์‘ กองทุนรวม ’สินทรัพย์ดิจิทัล เพิ่มช่องทาง - จำกัดความเสี่ยงให้ผู้ลงทุน 

‘กูรู’ ชี้เกณฑ์‘ กองทุนรวม ’สินทรัพย์ดิจิทัล เพิ่มช่องทาง - จำกัดความเสี่ยงให้ผู้ลงทุน 

‘กูรู’ ชี้เกณฑ์‘ กองทุนรวม’ สินทรัพย์ดิจิทัล เพิ่มช่องทางที่เพิ่มมากขึ้น และทำให้ไม่เสี่ยงจนเกินไปสำหรับลูกค้ารายย่อย ถือว่าดีเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน และมีการจำกัดความเสี่ยงที่เหมาะสม

หลังจากที่ Bloomberg รายงานว่า ไทยกำลังพิจารณาอนุญาตให้มีการซื้อขาย Bitcoin ETF ในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรก เพื่อส่งเสริมให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางด้านสินทรัพย์ดิจิทัล โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กำลังพิจารณาให้นักลงทุนรายย่อย และสถาบันฯ สามารถเข้ามาลงทุนได้

ขณะที่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศว่าจะทำให้สหรัฐ กลายเป็นเมืองหลวงของคริปโทเคอร์เรนซี

‘กูรู’ ชี้เกณฑ์‘ กองทุนรวม ’สินทรัพย์ดิจิทัล เพิ่มช่องทาง - จำกัดความเสี่ยงให้ผู้ลงทุน 

ขณะเดียวกัน ก.ล.ต.ได้มีการปรับปรุงหลักเกณฑ์สำหรับกองทุนรวม และกองทุนส่วนบุคคลที่มีการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อสร้างความเท่าเทียมในการให้บริการการลงทุนในต่างประเทศแก่ผู้ลงทุนรายใหญ่ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) และเพื่อประโยชน์ด้านการจัดสรรสินทรัพย์ ผ่านผู้เชี่ยวชาญ โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.2568 

ทั้งนี้ “กูรู” มองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำให้รายย่อยเข้าถึงการลงทุนได้

บดินทร์ พุทธอินทร์” ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด ใหัสัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ตามเกณฑ์ ก.ล.ต.ที่ประกาศมาช่วงต้นปี เป็นกองทุนสำหรับรายใหญ่พิเศษ Ultra High Net Worth สามารถให้ลงทุนผ่าน Bitcoin ETF ที่ไม่ได้เป็นการลงทุนตรงได้ไม่จำกัดสัดส่วน แต่ทว่ามีการลงทุนตรงจำกัดอยู่ที่ไม่เกิน 20% แต่ถ้าเป็นกองทุนรวมปกติที่ขายให้กับลูกค้าทั่วไป จะให้เข้าไปลงทุนได้ไม่เกิน 5% ของ NAV ผ่าน ETF ทำให้ไม่เสี่ยงจนเกินไปสำหรับลูกค้ารายย่อย ถือว่าดีเป็นทางเลือกให้แก่นักลงทุน และมีการจำกัดความเสี่ยงที่เหมาะสม

“บลจ.เรามีสัดส่วนที่เข้าไปลงทุนของคริปโทเคอร์เรนซีอยู่ในนั่น และอาจจะต้องมีการปรับสัดส่วนให้ตรงตาม ก.ล.ต.กำหนด ซึ่งเรามีอยู่ 1 กองทุน เพื่อไม่ให้เกินเกณฑ์ที่ ก.ล.ต. ระบุไว้ที่ 5% หากมีกองทุนอื่นๆ หรือบลจ.ในเมืองไทย หากมีรีเทลต้องมีการปรับตรงนี้”

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า ในบ้านเรายังมีกองทุนประเภทดังกล่าวไม่กี่กองทุนหรือน้อยมาก สาเหตุที่มีน้อยเพราะถือว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับนักลงทุนไทย เพราะความรู้ ความเข้าใจสำหรับดิจิทัลแอสเซท คริปโทเคอร์เรนซี ยังไม่ได้แพร่หลาย บวกกับความผันผวนสูง ดังนั้นหากมีการออกโปรดักต์จึงต้องมีความระมัดระวัง และนักลงทุนไทยอาจจะต้องใช้ระยะเวลาในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับผลตอบแทน และความเสี่ยงของสินทรัพย์เหล่านี้ จึงทำให้บลจ.ยังไม่ได้มีการออกกองทุนประเภทดังกล่าวกันอย่างแพร่หลาย

ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บลจ.เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ต้องยอมรับว่าปัจจุบันกองทุน ETF ที่เป็นของบ้านเราเองนั่นมีไม่กี่กองทุน ส่วนใหญ่จะเป็นกองทุนประเภท Feeder Fund ของ บลจ.เอ็มเอฟซี ที่มีการร่วมกันกับ BlackRock ซึ่งเป็นบริษัทจัดการการลงทุนของสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันต้องยอมรับ ก.ล.ต.อนุญาตให้เฉพาะนักลงทุนรายใหญ่ลงทุนได้เท่านั้น

ส่วนของจำกัดของบ้านกับการลงทุนคือ ยังไม่ได้มีการ complete ว่าสินทรัพย์คริปโทเคอร์เรนซี เป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หรือเป็นสินทรัพย์ที่อยู่ในระดับไหนของความเสี่ยง เนื่องจากเป็นเหรียญดิจิทัลที่ลอยๆ มีแต่รหัส เพราะฉะนั้นความลอยแบบนี้ทำให้เกิดความเสี่ยง แต่ทว่าโลกกำลังให้การยอมรับกับคริปโทเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นหมายความว่าในอนาคตจะเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย

“แต่ในบ้านเรายังมองเป็นการโยนหินถามทางมากกว่า และในสเตปถัดไปทำให้นักลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนได้ก่อน”

นเรศ เหล่าพรรณราย” ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท เมตาที จำกัด และ นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ให้ข้อมูลเสริมว่า ถือเป็นโรดแมปของ ก.ล.ต. เนื่องจาก ท่านเลขาธิการ ก.ล.ต. เผยว่า หากนโยบายสินทรัพย์ดิจิทัลของโลกไปในทิศทางใด ก.ล.ต.ก็จะไปในทิศทางเดียวกัน โดย ก.ล.ต.จะติดตามพัฒนาการของ Bitcoin ETF สหรัฐ ว่าเป็นเช่นไร และจะทำตามแนวทางดังกล่าว

ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวต้องการให้รายย่อยเข้าถึงการลงทุนได้มากขึ้น แต่ทว่าก็ต้องดูทิศทางการลงทุนของโลกด้วยว่าเป็นเช่นไร และหากดูจากแนวโน้ม หากทรัมป์ ได้รับตำแหน่งเข้ามาแล้ว คาดว่า คริปโทเคอร์เรนซี และอื่นๆ หากเป็นไปในทิศทางบวก มุมมองส่วนตัวคาดว่า ก.ล.ต.จะเปิดโอกาสให้รายย่อยไทยมีการลงทุนได้มากขึ้น และสามารถเข้าถึงโปรดักต์ที่ใกล้เคียงกับโลกได้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยมีแนวความคิดที่จะนำสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาเพิ่มความหลากหลาย เพื่อเป็นการดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่เข้ามาลงทุน

“ดูพัฒนาการ การกำกับดูแลในระดับโลก และเพื่อที่จะได้ดำเนินการตามเพื่อให้สอดรับกันไปกับโลก และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน”

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันในไทยการเข้าถึงสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรงอาจจะยังจำกัดอยู่แค่รายใหญ่ หรือ High Net Worth จะได้มากกว่า แต่ในอนาคตคาดว่ารายย่อยจะสามารถลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลได้มากขึ้น เพราะแนวทางของ ก.ล.ต. ต้องการที่จะส่งเสริม และไม่อยากให้มีการเทรดกันเอง เพราะมีความกังวล และห่วงใยนักลงทุนที่ไม่มีความรู้แล้วเข้ามาลงทุน ดังนั้น จึงกลายเป็นที่มาของการต้องมีใบอนุญาตที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อเป็นทางเลือกให้กับรายย่อยเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมได้

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์   ศิลาวงษ์