อย่าซื้อบิตคอยน์ ไปลงทุนอื่นที่สะอาด-สง่าดีกว่า

อย่าซื้อบิตคอยน์ ไปลงทุนอื่นที่สะอาด-สง่าดีกว่า

ตอนนี้หลายคนกำลังมีแฟชั่น “คลั่ง” บิตคอยน์ โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาวที่มองว่าตนเองรู้ซึ้งแล้วถึงเทคโนโลยีการซื้อขายบิตคอยน์ เข้าทำนอง “เข้าป่าไป เห็นแต่ต้นไม้ ไม่เห็นป่าทั้งป่า”

เรามาทำความเข้าใจบิตคอยน์กันอีกหน่อย ก่อนคิดจะซื้อเก็งกำไรไปเรื่อยๆ จนรอวันเจ๊ง

บางคนบอกว่าขณะนี้มีปัจจัยบวกสำหรับ บิตคอย์ คือ สงครามยูเครนและตะวันออกกลางกำลังขยายตัว การคว่ำบาตรมีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ประเทศต่างๆ จำเป็นต้องใช้บิตคอยน์เป็นสื่อกลางในการค้าขายเพราะไม่ติดขัดด้วยการคว่ำบาตรใดๆ ทำให้เกิดการระดมซื้อบิตคอยน์กันขนานใหญ่ในขณะนี้

พวกเหมืองขุดบิตคอยน์ก็ยิ่งขุดกันใหญ่ บางคนถึงกับกล่าวว่าการลงทุนในบิตคอยน์หรือคริปโตเคอร์เรนซีอื่นๆ ได้ชื่อว่าเป็นการลงทุนที่สวรรค์ประทานมาให้กับคนฉลาดและมีข้อมูลมาก

เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มีข่าว “การเดิมพันกับบิทคอยน์ของเอลซัลวาดอร์ ผลิดอกออกผลแล้วหรือไม่” ในสำนักข่าว BBC ทุกท่านพึงดู จะได้ไม่ไปหลงลงทุนในบิตคอยน์

ทั้งนี้นับตั้งแต่ที่เอลซัลวาดอร์กลายเป็นประเทศแรกที่กำหนดให้บิตคอยน์สามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ไม่ต่างจากเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นเงินสกุลหลักของเอลซัลวาดอร์  โดยนับแต่ปี 2021 รัฐบาลได้ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3,500 ล้านบาท) ไปซื้อบิตคอยน์ 2,764 เหรียญ 

ที่ผ่านมารัฐบาลได้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากในการพัฒนาแอปพลิเคชัน ชิโววอลเล็ต (Chivo Wallet) การติดตั้งตู้เอทีเอ็มซึ่งส่วนใหญ่ยังใช้งานไม่ได้  เมื่อรวมต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผลลัพธ์ก็ไม่ได้เป็นบวกเท่าไหร่ ถือว่าประเทศขาดทุนอย่างหนัก 

อย่าซื้อบิตคอยน์ ไปลงทุนอื่นที่สะอาด-สง่าดีกว่า

นายทาเทียนา มาร์โรควิน นักเศรษฐศาสตร์จากพรรคอินดิเพนเดนท์ ซัลวาดอเรียน (Independent Salvadorean) บอกว่า

"การพูดจาที่แสดงถึงชัยชนะเกี่ยวกับการที่บิทคอยน์ขึ้นราคานั้น ค่อนข้างจะจอมปลอม"

"มันไม่สามารถชดเชยต้นทุนทางเศรษฐกิจจากโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับบิทคอยน์ได้เลย"

"มันเป็นความล้มเหลวอย่างสมบูรณ์"

นางลอร์ดส์ โมลินา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสที่สถาบันการคลังศึกษาแห่งอเมริกากลาง กล่าวว่า

"แทบจะไม่มีใครในเอลซัลวาดอร์ใช้บิทคอยน์เลย กระทั่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็ยังไม่มีใครใช้เลย"

โมลินา เห็นด้วยว่าการโอบรับบิตคอยน์ไปใช้นั้นน้อยลงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่มูลค่าของบิทคอยน์อยู่ในช่วงขาขึ้น

อย่าซื้อบิตคอยน์ ไปลงทุนอื่นที่สะอาด-สง่าดีกว่า

มาดูราคาบิตคอยน์กัน ราคา 2,110,710 เหรียญสหรัฐสูงสุด ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 กว่าจะขึ้นมาเท่ากับราคาเดิม ก็เป็นวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 หรือ 838 วันหรือ 2.3 ปี นับจากวันสูงสุด แสดงว่าตลอดระยะเวลาดังกล่าว ราคาไม่ขึ้นเลย 

ถ้านำเงินนี้ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ก็ได้ผลตอบแทนประมาณ 6.5% ต่อปี แถมราคายังเพิ่มขึ้นปีละ 5% โดยประมาณ ก็ได้ผลตอบแทนที่ 11.5% ต่อปี

แสดงว่า ถ้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ราคาก็ควรจะขึ้นเป็น 2,909,271 เหรียญสหรัฐไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ราคาล่าสุด ณ 12 มีนาคม 2567 ราคาบิตคอยน์ เพิ่มขึ้นเป็น 2,543,802 เหรียญสหรัฐไปแล้ว แต่ก็ยังน้อยกว่าราคาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์อยู่ดี 

แต่ก็มีข้อน่าสังเกตว่า ราคาบิตคอยน์ ได้พุ่งขึ้นจาก 2,247,971 เหรียญสหรัฐ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 แสดงว่าในระยะเวลา 14 วัน ราคาเพิ่มขึ้น 20.5%หรือราคาขยับขึ้นวันละ 1.342% (สัปดาห์ละ 9.8% หรือเดือนละ 49.2%)

ซึ่งคงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในระยะยาวที่จะถูก “ปั่น” ให้สูงได้ตลอดไปตามนี้  ผู้ที่คาดหวังว่าราคาจะเติบโตไปไม่สิ้นสุด ก็คงต้องได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากในอนาคตอันใกล้

อย่าซื้อบิตคอยน์ ไปลงทุนอื่นที่สะอาด-สง่าดีกว่า

ในทางตรงกันข้ามราคาบิตคอยน์ ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 ตกต่ำสุดเหลือเพียง 571,573 เหรียญ ก็เท่ากับการลงทุนนั้นได้ผลตอบแทน (ติดลบ) ถึง -73% การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงแบบนี้ และไม่อาจมองเห็น “มือที่มองไม่เห็น” ในการควบคุมตลาดนั้น เป็นธุรกิจที่สุดเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบุคคลธรรมดาที่ไปลงทุนก็ย่อมพบกับความเสียหายอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ที่มีข่าวโพนทะนากันว่าคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐอเมริการับรองบิตคอยน์นั้น ก็ไม่เป็นความจริง

ประธาน ก.ล.ต.ย้ำว่า ก.ล.ต.รับรองกองทุน Spot Bitcoin ETF (Exchange Traded Fund) ไม่ได้รับรองตัวบิทคอยน์เลย โดยกองทุนซึ่งสามารถซื้อ-ขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้ในเวลาทำการจะนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง Bitcoin เข้ามาถือครอง

อย่างไรก็ตาม ผู้รู้ก็ไม่แนะนำให้นักลงทุนรายย่อยลงทุนใน Spot Bitcoin ETF ยิ่งกว่านั้น นาย Gary Gensler (ประธาน ก.ล.ต.) ยืนยันว่า แม้จะอนุมัติ BTC ETF แต่ Bitcoin ยังคงถูกใช้เพื่อทำธุรกรรมในกิจกรรมที่ชั่วร้ายและผิดกฎหมาย ทุกคนจึงพึงสังวร

บางคนอ้างว่าทองคำก็คล้ายบิตคอยน์ คือไม่ได้มีประโยชน์อันใด อันนี้เป็นความเข้าใจผิดที่พวกปั่นบิตคอยน์พยายามเล่ากรอกหูกันมา  อันที่จริงทองคำมีประวัติความเป็นมาในฐานะเป็นสื่อแลกเปลี่ยนหรือของมีค่ามาประมาณ 40,000 ปีมาแล้ว 

อย่าซื้อบิตคอยน์ ไปลงทุนอื่นที่สะอาด-สง่าดีกว่า

ยิ่งกว่านั้นทองคำยังมีประโยชน์ใช้สอยในเชิงอุตสาหกรรม และเป็นเครื่องประดับต่างๆ อีกด้วย ทองคำจึงมีสถานะเป็นโลหะมีค่าที่เป็นแหล่งสะสมมูลค่า (Store of Value) ที่เป็นที่นิยมกันมาช้านานแล้ว

            บางคนพยายามสร้างความน่าเชื่อถือให้บิตคอยน์และ Cryptocurrency ต่างๆ โดยบอกว่าบิตคอยน์เป็น Digital Currency ซึ่งไม่เป็นความจริง เช่น “‘เงินหยวนดิจิทัล’ (Digital Yuan) ซึ่งแตกต่างจาก Bitcoin โดยอัตราเงินหยวนดิจิทัล จะอ้างอิงกับค่าเงินหยวน

ในขณะที่ Bitcoin ไม่ต้องระบุตัวตนก็สามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระ และไม่อยู่ภายใต้การควบคุมใด ๆ นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังสามารถตรวจสอบการทุจริตด้านการเงินซึ่งสร้างความน่าเชื่อให้กับผู้ใช้งานมากขึ้นและ ถือเป็นการก้าวสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มตัว

ยิ่งกว่านั้นบางคนยังไปพัวพันบิตคอยน์กับเทคโนโลยีบล็อกเชน แต่อันที่จริงคงเป็นความพยายามสร้างเครดิตของพวก Cryptocurrency มากกว่า อาจกล่าวได้ว่าบล็อกเชนและบิตคอยน์เป็นสองสิ่งที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง:

1. บิตคอยน์เป็น สกุลเงินดิจิตอล ในขณะที่บล็อกเชนเป็นฐานข้อมูลแบบกระจาย

อย่าซื้อบิตคอยน์ ไปลงทุนอื่นที่สะอาด-สง่าดีกว่า

2. บิตคอยน์ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยีบล็อคเชน แต่บล็อคเชนใช้ประโยชน์นอกเหนือไปอีกมากมายหลายอย่าง

3. บิตคอยน์ส่งเสริมการไม่เปิดเผยตัวตน (พวกโจรเรียกค่าไถ่ มิจฉาชีพชอบ) ในขณะที่บล็อกเชนนั้นเกี่ยวกับความโปร่งใส เพื่อนำไปใช้ในบางภาคส่วน (โดยเฉพาะการธนาคาร) บล็อกเชนต้องปฏิบัติตามกฎการรู้จักลูกค้าของคุณที่เข้มงวด

4. บิตคอยน์โอน “สกุลเงิน” ระหว่างผู้ใช้ ในขณะที่บล็อกเชนสามารถใช้ในการถ่ายโอน สิ่งต่างๆ ได้ ทุกประเภทรวมถึงข้อมูลหรือสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการแฮ็กสกุลเงินดิจิทัลได้กลายเป็นภัยคุกคามที่แพร่หลายและน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง มีการขโมยเงินนับแสนล้านบาทจากแพลตฟอร์มของคริปโตเคอร์เรนซีต่างๆ และทำให้เห็นช่องโหว่ทั่วทั้งระบบนิเวศของแฟลตฟอร์มเหล่านี้

ทั้งนี้ในปี 2565 ถือเป็นปีที่มีการขโมยกันมากที่สุดถึงโดยถูกขโมยไป 133,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในปี 2566 จำนวนเงินที่ถูกขโมยไปลดลงประมาณ 54.3% เหลือ 61,200 ล้านบาท

แต่จำนวนการแฮ็กก็เพิ่มขึ้นจาก 219 ครั้งในปี 2565 เป็น 231 ครั้งในปี 2566 อาชญากรรมเหล่านี้ยังมีอย่างต่อเนื่องทั้งที่พวกโฆษณาชวนเชื่อเรื่องบิตคอยน์บอกว่าบิตคอยน์ปลอดภัย

การลงทุนเก็งกำไรในบิตคอยน์จากความไม่รู้ของคนอื่นไม่สง่างามและเป็นบาปติดตัวไปนานแสนนาน