เทียบฟอร์ม 8 สินทรัพย์การลงทุน ปี 2566 บิตคอยน์ คว้าแชมป์ผลตอบแทนสูงสุด พุ่ง 160%

เทียบฟอร์ม 8 สินทรัพย์การลงทุน ปี 2566  บิตคอยน์ คว้าแชมป์ผลตอบแทนสูงสุด พุ่ง 160%

8 สินทรัพย์การลงทุน ปี 2566 ที่นักลงทุนไทยส่วใหญ่ให้ความสนใจมากสุด พบว่า บิตคอยน์ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีบวกพุ่งนำกว่า 160.49% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยติดลบหนักสุด 14.16%

แม้ว่าปี 2566 จะไม่ใช่ปีที่ดีที่สุดของการลงทุน เพราะสารพัดปัจจัยเข้ามารุมเร้าตลาดหุ้นทั่วโลก แต่สินทรัพย์การลงทุนอื่น ๆ อย่าง ทองคำ  และคริปโตเคอร์เรนซี กลับสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ 

ณัฐ ตรีพูนสุข ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูลกับกรุงเทพธุรกิจว่า บิทคอยน์ปี 2567 จะเป็น four year cycle ในทุก ๆ 4 ปีจะทำ Bitcoin Halving ซึ่งราคาของ Cryptocurrency จะปรับตัวขึ้นได้ดีเป็นระยะเวลา 2 ปี ฉะนั้นในปีหน้าเชื่อว่า Crypto เป็นขาขึ้น ส่วนทองคำน่าจะมี Sentiment เชิงบวกต่อเนื่อง ทั้งจากค่าเงินดอลลาร์ฯ ที่อ่อนค่า รวมถึงบอนด์ยีลด์ที่ปรับตัวลงมา เป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้ราคาทองคำขึ้น ส่วนปัจจัยที่จะทำให้ราคาทองคำลง ต้องจับตาการทำ QT หากมีการเพิ่มขนาด จะเป็นปัจจัยลบต่อสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกได้ 

ขณะที่น้ำมัน หากไม่มีสงคราม ราคาน้ำมันจะอยู่ฝั่งของดีมานด์ไซด์เป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันมองว่า เศรษฐกิจจะมีชะลอตัวลงมาบ้างต่อเนื่องจากปี 2566 จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เป็นตัวกดดันราคาน้ำมันปรับตัวลง

ส่วนหุ้นทั่วโลกปี 2567 เป็นลักษณะ Sideway to Sideway Up จนกว่าเริ่มเห็นความชัดเจนว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยในครั้งไหน ซึ่งเมื่อเฟดลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกตลาดมักจะปรับตัวลงมา นำโดยสหรัฐฯ ดังนั้นตลาดหุ้นทุกประเทศจะมีโอกาสขายทำกำไรตาม ยกเว้นจีน เนื่องจากลักษณะของราคาไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับสหรัฐฯ ดังนั้นมีโอกาสสูงที่จีนจะไม่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ แต่ยังต้องจับตาดูว่า จีนจะสามารถแก้ไขปัญหาภายในประเทศได้มากน้อยแค่ไหน แต่มองว่า ปีหน้าจีนจะมีโอกาสฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้

ขณะที่อินเดียเศรษฐกิจจะแซงหน้าญี่ปุ่น ดังนั้นโมเมนตัมยังมีอย่างต่อเนื่อง GDP กำลังจะขยับขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ของโลก รวมถึงอินเดียมีการวางตัวเป็นกลาง ทำให้สหรัฐฯ และจีนมีการย้ายฝั่งฐานการผลิตไปอินเดียมากขึ้น รวมถึงการขยายตัวจำนวนประชากรที่สูงขึ้น ส่งผลให้การบริโภคดีต่อเนื่อง 

โดยจำนวนประชากรของอินเดียปัจจุบันได้แซงหน้าจีนไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น overall ทั้งทุน ที่ดิน แรงงาน ผู้ประกอบการของอินเดียมีครบหมด ส่งผลให้ GDP จะโตได้ดี รวมถึงเป็น Sentiment เชิงบวกให้กับดัชนี Nifty 50 และปี 2567 อินเดียจะมีการเลือกตั้งด้วย 

ส่วนญี่ปุ่นปี 2567 ค่าเงินเยนมีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นจากนโยบาย BOJ ดังนั้น ถ้ามีการกลับนโยบายจริงสิ่งที่จะตามมาคือ เงินเยนแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นของดัชนี Nikkei จะปรับตัวลง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นหุ้นส่งออก จึงเป็นปัจจัยลบสำหรับญี่ปุ่นในปี 2567 

และตลาดหุ้นไทย มองดัชนีปี 2567 ไว้ที่ 1,520 จุด บนความคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จริงจังมากขึ้น เนื่องจากปีหน้าจะเป็นปีแรกที่เศรษฐกิจจะเป็นของพรรคเพื่อไทยเต็มตัวทั้งปี ดังนั้นเชื่อว่า หากพรรคเพื่อไทยต้องการสร้างความเชื่อมั่นกลับมา โดยสิ่งที่จะต้องทำคือ การกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างจริงจัง เพื่อให้ GDP กลับฟื้นตัวขึ้นมา 

บดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการส่วนกลยุทธ์การลงทุน ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในด้านสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำที่ปี 2566 ทำผลตอบแทนได้เกือบ 15% และในช่วงต้นปี 2567 อาจได้ประโยชน์ช่วงสั้น ๆ จากดอลลาร์ที่อ่อนค่า แต่โดยรวมอาจไม่ได้โดดเด่นเท่ากับปีที่ผ่านมาซึ่งอาจเป็นภาพไซด์เวย์ในปี 2567 ขณะที่น้ำมันดิบเราคาดว่าจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวอาจทำให้ความต้องการการใช้น้ำมันไม่ได้เพิ่มขึ้น ส่งผลราคาพลังงานน่าจะวิ่งอยู่ในระดับ 70-80 เหรียญ/บาร์เรลล์ในปี 2567

ทั้งนี้ “กรุงเทพธุรกิจ” ได้สำรวจ 8 สินทรัพย์การลงทุน ปี 2566 (อ้างอิงจาก Investing) ที่นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ให้ความสนใจมากสุด พบว่า 

1.บิตคอยน์ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี +160.49%

2.ญี่ปุ่น ดัชนี Nikkei ผลตอบแทน +26.82%

3.อินเดีย ดัชนี Nifty 50 ผลตอบแทน +19.43%

4.ทองคำ ผลตอบแทน +15.02%

5.สหรัฐ ดัชนี Dow Jones ผลตอบแทน +13.28%

6น้ำมัน WTI  ผลตอบแทน -6.78%

7.จีน ดัชนี CSI 300 ผลตอบแทน -13.71%

8.ไทย ดัชนี SET ผลตอบแทน -14.16%

เทียบฟอร์ม 8 สินทรัพย์การลงทุน ปี 2566  บิตคอยน์ คว้าแชมป์ผลตอบแทนสูงสุด พุ่ง 160%