‘บิทคับ’ เปิดแผนธุรกิจปี 67 อัปเดท‘ฟีเจอร์’ใหม่ พร้อมเติบโตยั่งยืน

การเติบโตของ “บิทคับเอ็กซ์เชนจ์” ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 95% ซึ่งเป็น “อันดับ 1” ในไทย หลังจากที่เติบโตอย่าง “ก้าวกระโดด” ไปพร้อมกับตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ “ขาขึ้น” แต่กลับเป็นการเติบโตอย่างขาด “สติ” เพราะเป็นการโตเร็วเกินไป
“อรรถกฤต ชิมผลาพิบูลย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับออนไลน์ จำกัด กล่าวว่า ในปี 2567 บิทคับวางแผนไปสู่เป้าหมายในการรองรับการใช้งานเพื่อ "ตอบโจทย์ลูกค้ามากสุด" ซึ่งเป็นเป้าหมายถัดไปในการเติบโตอย่าง “ยั่งยืน”
ในอดีตที่ผ่านมา บิทคับมีการจัดมีตอัปขึ้น เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ และอัปเดทตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 2561 จนถึงวิกฤติโควิด-19ในปี 2562 ทำให้การจัดมีตอัปหายไป และกลับมาจัดอีกครั้งในครั้งนี้ปี 2566
ขณะเดียวกัน บิทคับเอ็กซ์เชนจ์มีการปรับปรุงพัฒนา และเปลี่ยนไปมากมาย หากย้อนไปในปี 2561 จนถึงปัจจุบันบิทคับ “เติบโต” ทั้ง 5 ด้าน
คือ 1.ผู้ใช้งานจากหลักพันสู่หลักล้าน ที่จำนวน 4.56 ล้านคน 2.จำนวนเหรียญจาก 10 เหรียญสู่ 103 เหรียญ โดยมองว่าหลายเหรียญจะเข้ามาเปิดประตูบานใหม่ เช่น เหรียญ "เรียลเอ็กซ์” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่อ้างอิงโดย “เรียลเวิลด์แอสเสท” คือสามารถนำสินทรัพย์ดั้งเดิมมาโทเคนได้ ไม่ว่าจะเป็น เพชร พลอย ทองคำ หรือสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม รวมทั้งการคัดเลือกเหรียญเข้ามาสู่กระดานจะเหรียญที่รับรอง ETH ไม่ใช่โปรเจกต์ที่อยู่บน BRC-20 เท่านั้น
3.วอลุ่มการซื้อขายที่เคยอยู่ที่ 1 ล้านบาท ตอนนี้เคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 3.5 พันล้านบาท 4.ขึ้นเป็นเอ็กซ์เชนจ์อันดับที่ 53 ของโลก และ 5.มีทีมงานที่ใหญ่ขึ้น โดยมีพนักงานทั้งหมด 700 คน
ทำให้บิทคับเอ็กซ์เชนจ์วางโรดแมพปี 2567 เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น ซึ่งอยู่ระหว่างอัปเกรดระบบเทรดดิ้งเอนจิ้นร่วมกับ "แนสแด็ก" ที่พัฒนาเพื่อรองรับการทำธุรกรรมของลูกค้าที่จะเข้ามามากในปี 2567 อย่างแรกโฟกัสไปที่ “การรักษาความปลอดภัย" ของสินทรัพย์ลูกค้าอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมและปลอดภัยจริงๆ เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดทั้ง 2 แบบ คือ
“การยืนยันตัวตน” ตอนนี้ระบบการยืนยันตัวตนของบิทคับเอ็กซ์เชนจ์ทำผ่านระบบ NDID และ ลูกค้าสามารถยืนยันตัวตนผ่านร้านสะดวกซื้อ 7-11 ได้ และเตรียมปล่อยซีเคียวริตี้ฟีเจอร์ใหม่ “พาสคีย์” (PassKey) ในไตรมาส 1 ปี 67 เป็นการแทนที่รหัสผ่านที่ออกแบบมาให้การลงชื่อเข้าใช้แอปหรือเว็บไซต์โดยไม่ต้องพิมพ์รหัสผ่านเข้าไป แต่สามารถใช้วิธีการสแกน Touch ID, Face ID บนอุปกรณ์
และการเก็บรักษาสินทรัพย์ลูกค้าไว้ใน "คัสโตเดียนวอลเล็ต” ทุกวันนี้บิทคับมีสินทรัพย์ของลูกค้าอยู่ในการดูแลมูลค่า"หลายหมื่นล้านบาท" ทำให้บิทคับจึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก โดยสินทรัพย์ของลูกค้ามากกว่า90% ถูกเก็บไว้กับหน่วยงานที่เรียกว่า “เติร์ดปาร์ตี้” หรือ คัสโตเดียนที่ปลอดภัยที่เป็นผู้เก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลก และไม่ใช้เก็บไว้เพียงแค่เจ้าเดียว เพราะมีสินทรัพย์มากพอที่จะสามารถกระจายไปที่คัสโตเดียนระดับโลกหลายๆเจ้า
แน่นอนว่าการเป็นบริษัทระดับโลก ทำให้การรักษาโปรโตคอลมีความปลอดภัยสูง ทั้งการผ่านออดิท
รวมทั้งผ่านการออดิทจากบริษัทประกันที่ให้รับประกันให้กับผู้ที่ใช้ประกัน ปัจจุบันมีประกันกลุ่มคัสโตเดียนที่มีมูลค่า620 ล้านดอลลาร์ หรือราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นอีกสิ่งที่สามารถสร้างความมั่นใจได้
รวมทั้งบิทคับได้มีการออก "ผลิตภัณฑ์”ใหม่เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า อย่างแรกคือ “บิทคับรีวอร์ด”ในการให้ลูกค้าเข้ามาเช็คอินเพื่อรับพอยท์ เพื่อใช้เป็นส่วนลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม และ โปรดักส์ไฮไลท์ที่จะเป็นจุดเด่นของบิทรับเอ็กซ์เชนจ์ในปีหน้า นั่นคือ “pipe card" การ์ดที่ทำให้ลูกค้าใช้คริปโทในชีวิตประจำวันได้สะดวกยิ่งขึ้น
และอัปเดทฟีเจอร์ใหม่บนกระดานเทรดคือ Auto DCA การตั้งลงทุนเหรแบบสะสมอัตโนมัติภายในแอป และ Prices Alert แจ้งเตือนราคาที่ลูกค้าต้องการ
"อรรถกฤต" เป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในสถานณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านของสถิติตลาดคริปโทที่ผ่านมาหลายไซเคิล (cycle) ในอดีตแล้ว ที่เชื่อว่า 2567 จะเป็นปีที่ตลาดเริ่มกลับคืนมา เพราะเศรษฐกิจกำลังจะกลับคืนมา ซึ่งส่งผลต่อแนวโน้มของอุตสาหกรรมคริปโท และบิตคอยน์ด้วย
อย่างไรก็ดี หลังจากที่บิทคับประสบความสำเร็จเป็นยูนิคอร์น ที่ผลประกอบการที่บิทคับได้มาถูกนำไปรีอินเวสให้บริการดีขึ้น ผลิตภัณฑ์ดีขึ้น เพราะบิทคับเชื่อว่า "ดิจิทัลแอสเสท” จะเป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต







