‘บิทคับเชน’อัปเกรดระบบ เตรียมขึ้นแท่น‘บล็อกเชน’ระดับโลก

‘บิทคับเชน’อัปเกรดระบบ  เตรียมขึ้นแท่น‘บล็อกเชน’ระดับโลก

ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีเข้าสู่ภาวะซบเซา ฉุดเทคสตาร์ตอัปอย่างกลุ่มบิทคับต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้อง “ประคับประคอง” ตัว หลังผ่านการสร้าง “บล็อกเชน” ของตนเอง โดยมี KUB Coin เหรียญประจำเชน และเติบโตอย่างมากในช่วงที่บล็อกเชนได้รับความสนใจ

ภาสกร ปานนอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ บล็อคเชน เทคโนโลยี จำกัด หรือ “บิทคับเชน” เปิดเผยกับทางกรุงเทพธุรกิจว่า อุตสาหกรรมเทคโนโลยี“บล็อกเชน” ได้รับผลกระทบจากตลาด“คริปโทซบเซา” เนื่องจากมีผู้ใช้งานน้อยลง ทำให้บิทคับเชนมีการพัฒนา Layer2 และมีการพัฒนา DeFi เพื่อรองรับผู้ใช้งานและการทำธุรกรรมที่เพิ่มมากขึ้นเมื่อตลาดคริปโทเป็นขาขึ้น ตามโร้ดแมพของบิทคับเชนที่ได้ระบุไว้บนไวท์เปเปอร์มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับสู่การเป็นเครือข่ายบล็อกเชนระดับโลก

หนึ่งในนั้น คือการอัปเกรด“ระบบการทำงาน” เปลี่ยนผ่านจากระบบฉันทามติแบบ Proof-of-Stake-Authority (PoSA) สู่ระบบมติแบบ Proof-of-Stake (PoS) สำเร็จในวันที่ 18 ส.ค.2566 ที่ผ่านมา ทำให้บิทคับเชนกลายเป็นเครือข่ายแบบเปิดมากขึ้น โดยนักลงทุนรายย่อยที่ถือครอง KUB สามารถนำเหรียญมา Stake หรือสามารถร่วมเป็นโหนด (Node) ผู้ตรวจสอบธุรกรรมบนเครือข่ายได้แล้ว โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 1 เหรียญ KUB Coin

‘บิทคับเชน’อัปเกรดระบบ  เตรียมขึ้นแท่น‘บล็อกเชน’ระดับโลก

กลไกนี้เป็นการดึงดูดให้คนที่อยากจะมีส่วนในการ Validate ข้อมูลจะต้องมีเหรียญ KUB เข้ามา Stake ในระบบเพื่อให้ได้สิทธิ Validate และได้ผลตอบแทนเป็นรางวัลกลับไป ซึ่งจะเป็นการเพิ่มการใช้งานเหรียญ KUB เพิ่มมากขึ้นจากกลไกนี้นำไปสู่สภาพคล่องของเหรียญที่ทำให้มีการไหลเวียนได้มากขึ้น

เป็นเวลากว่า 2 เดือนหลังจากอัปเกรดระบบ POS เสร็จสิ้น ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้เข้าร่วมเป็นโหนด มีผู้ถือครองเหรียญ KUB Coin นำเหรียญเข้ามา Stake บน POS แม้ว่าขณะนี้ราคาเหรียญบิทคับจะปรับตัวลดลงก็ตาม แต่นักลงทุนส่วนหนึ่งยังคงมีความเชื่อมั่นเพื่อรอให้ราคาเหรียญปรับตัวเพิ่มขึ้นในอนาคต

ปัจจุบันมีผู้ร่วมเป็นโหนด 4,473 โหนด มีจำนวนการStake เหรียญ 6,048,532 เหรียญ และมีการแจกรางวัลแล้วทั้งหมด 6,189 KUB 

โดยประเภทของผู้ร่วมเป็นโหนดแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1.Pool Node มีจำนวน KUB เริ่มต้นของ Validator ที่ 100,000 KUB และเปอร์เซ็นต์รางวัลที่จะได้รับขึ้นอยู่กับจำนวน KUB ที่ stake และ staking power ของ validator 2.Solo Node มีจำนวน KUB เริ่มต้นของ Validatorเริ่มต้นที่ 10 KUB และเปอร์เซ็นต์รางวัลที่จะได้รับตามจำนวนเหรียญ KUB ที่ Stake 

และสัดส่วนโหนดที่มากที่สุดที่ 76% จาก 4.6 ล้านเหรียญบิทคับ 3.Official Node มีจำนวน KUB เริ่มต้นของ Validator1 KUB เปอร์เซ็นต์ รางวัลที่จะได้รับขึ้นอยู่กับจำนวน KUB ที่ stake และ staking power ของ validator โดยมีค่าธรรมเนียมการ Stake ประมาณ 5% ซึ่งเป็นกลุ่มรายย่อยที่บิทคับพยายามพลักดัน เนื่องจากสามารถการันตีความน่าเชื่อถือให้กับบิทคับบล็อกเชนได้

แม้ว่าบิทคับบล็อกเชนไม่ได้อยู่ภายใต้การกับกับดูแลของ​คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์( ก.ล.ต.) โดยตรง แต่ว่านโยบายในการเพิ่มเหรียญต่างๆที่อยู่บนศูนย์ซื้อขายบิทคับ หรือ บิทคับเอ็กซเชนจ์นั้น บิทคับเอ็กซเชนจ์มีหน้าที่รายงานความคืบหน้าต่อก.ล.ต.เกี่ยวกับกระบวนการทำงานของโปรเจกต์ ว่าเกิดอะไรขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง

ความเห็นต่อนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท

ทั้งนี้ในมุมมองของนักพัฒนาบล็อกเชน เชื่อว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนมีความสามารถในการนำมาเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเงินในอนาคต เนื่องจากทุกคนคุ้นเคยและรู้จักกับบล็อกเชนมากขึ้น และไม่เกิน 2 ปี บล็อกเชนจะเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันมากขึ้น

ภาสกร มองว่า นโนบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทนั้น ยังมีข้อจำกัดของการรองรับการทำธุรกรรมมหาศาลที่ 5,000-10,000 ธุรกรรมภายในระยะเวลาพร้อมๆกันได้ รวมทั้งกรอบนโยบายที่มีความ“เร่งรัด” ทั้งขนาดธุรกรรมและเวลาในการสร้างระบบ ที่อาจทำให้นโยบายไม่สามารถใช้ได้ทันเวลาที่กำหนด

แต่จุดแข็งที่บล็อกเชนสามารถทำได้ นั่นคือการเก็บข้อมูลการทำธุรกรรม ยกตัวอย่างเช่น การนำนโยบายเงินดิจิทัลใช้ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ในระหว่างวันที่มีการโอนจ่ายทำธุรกรรมในระบบปกติ แต่มีการนำชุดข้อมูลทั้งหมดเก็บไว้ในบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นวิธีการใช้งานของบล็อกเชนได้ดีที่สุด

 ในระยะยาว “เศรษฐกิจดิจิทัล”ต้องดำเนินการอยู่บนบล็อกเชนได้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับ “ธนาคารแห่งประเทศไทย” ที่เลือกใช้บล็อกเชน และถ้าโปรเจกต์ CBDC สำหรับรายย่อยมีการทดสอบผ่าน SandBox สำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีโอกาสสูงที่รัฐบาลจะผลักดันนโยบายสร้างบล็อกเชนแห่งชาติ