การอัปเกรดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของ Ethereum Layer 2 หลายเท่าตัว

การอัปเกรดที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของ Ethereum Layer 2 หลายเท่าตัว

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เราได้เห็นการพัฒนาจากเครือข่าย Ethereum Layer 2 เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น Total Value Locked (TVL) ที่เพิ่มขึ้นในกลุ่ม Optimistic Rollups อย่าง Arbitrum หรือ Optimism ที่มากจนสามารถแย่ง Marketshare จาก Blockchain Layer 1 ทางเลือกหลายๆตัวได้ 

รวมไปถึงการเปิดตัว Mainnet ของกลุ่ม zk-Rollups อย่าง zkSync, Polygon zkEVM รวมไปถึงอีกหลายๆโปรเจกต์ที่กำลังเปิดตัวในอนาคตอย่าง Scroll และ Linea ซึ่งด้วยความที่ Layer 2 เหล่านี้มีการรองรับความปลอดภัยจาก Ethereum เพราะฉะนั้นสิ่งนี้จึงเป็นจุดเด่นที่ทำให้หลายๆคนไว้ใจที่จะนำเงินมาลงทุนใน DApps ต่างๆบน Layer2

การที่มีคนเข้ามาใช้งานมากขึ้น ก็ย่อมแลกมากับค่าธรรมเนียมธุรกรรมบนเครือข่าย Layer 2 ที่เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งถึงแม้ว่าค่าธรรมเนียมบน Layer 2 จะถูกกว่า Ethereum Mainnet หลายเท่าตัว แต่หากมีการใช้งานบน Mainnet ที่มากขึ้น ค่าธรรมเนียมบน Mainnet แพงขึ้น ค่าธรรมเนียมบน Layer 2 ก็จะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

จุดประสงค์หลักของ Ethereum Foundation คือการ Scaling และ Sharding เครือข่าย Ethereum ให้สามารถรองรับธุรกรรมที่มากหากเกิด Mass Adoptionได้ สิ่งนี้จะต้องมีการปรับปรุงในระดับโครงสร้างพื้นฐานของ Ethereum Mainnet เท่านั้น (Execution Layer) ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายและใช้ระยะเวลาในการ R&D ค่อนข้างนาน 

ทาง Foundation จึงได้วาง Roadmap ระยะสั้น-กลางของ Ethereum คือ “Rollups Centric” ซึ่งเน้นการพัฒนา Ethereum ให้เอื้อต่อการส่งเสริมประสิทธิภาพของ Layer 2 (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Rollups) โดย Ethereum จะวางตัวเป็น Data Availability Layer หรือ Layer สำหรับเก็บข้อมูลธุรกรรมทั้งหมด ส่วน Rollups จะวางตัวเป็น Execution Layer หรือ Layer ที่โฟกัสเฉพาะเรื่องความเร็วในการทำธุรกรรม หรือเรียกว่าเป็นแนวคิดแบบ Modular Blockchain

ซึ่งหนึ่งในการอัปเกรดที่สำคัญที่ช่วยส่งเสริม Roadmap อย่าง Rollups Centric ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และถือเป็นจุดเปลี่ยนต่อ Layer 2 ก็คือ “EIP-4844” หรือ Proto-Danksharding นั่นเอง โดยการอัปเกรดนี้จะช่วยลดค่าทำธุรกรรมบน Layer 2 ประมาณ 10-100 เท่า (ในอุดมคติ) ผ่านการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกธุรกรรมลงบน Mainnet

โดยหลักการของ Rollups แบบปกติ คือหลังจากผู้ใช้งานกดส่งธุรกรรมบน Layer 2 ก็จะมี Sequencer ที่ทำหน้าที่ในการม้วนธุรกรรม (Rollups) เพื่อส่งกลับไปบันทึกบน Ethereum Mainnet สิ่งนี้เป็นการบันทึกแบบปกติ  หรือเรียกว่า “Calldata” สุดท้ายวิธีการนี้จะทำให้เจอค่า Gas( ค่าธรรมเนียมหรือมูลค่าราคาในการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์มบล็อกเชน ผู้ใช้งานต้องจ่ายให้กับผู้ประมวลผลการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม) ของ Mainnet ที่สูงอยู่ดี เนื่องจากบน Mainnet ก็จะมีการคำนวณธุรกรรมจาก Layer 2 ใหม่อีกครั้งเพื่อตรวจสอบและบันทึก

แต่หลังจากการอัปเกรด EIP-4844 จะใช้การบันทึกแบบใหม่ที่เรียกว่า “Binary Large Object (Blob)” ซึ่งสิ่งที่แตกต่างจาก Calldata คือข้อมูลธุรกรรมที่ถูกส่งมาจาก Layer 2 จะมีขนาดเท่าไหร่ก็ได้ และตอนถูกส่งไปบันทึกลงบน Mainnet นั้น จะเก็บในรูปแบบที่มีเพียงคน Run Validator Node เท่านั้น ที่สามารถโหลดมาอ่านได้ ทำให้เครือข่ายไม่ได้ใช้พลังงานในการคำนวณส่วนนี้ จึงลดค่าธรรมเนียมในส่วนที่ต้องบันทึกลง Mainnet และถ้าอยากตรวจสอบว่ามีการโกงเกิดขึ้นหรือไม่ ก็สามารถโหลดมาดูทีหลังได้

ซึ่งการอัปเกรด EIP-4844 ก็ตรงกับ Concept ของ Modular Blockchain ก็คือ Layer 2 เป็น Execution Layer หรือพาร์ทที่ใช้ในการคำนวณธุรกรรมเท่านั้น และ Ethereum Mainnet เป็น Data Availability หรือพาร์ทที่ใช้บันทึกธุรกรรมจาก Layer 2 เท่านั้น 

ไม่จำเป็นต้องเกิดการคำนวณบน Mainnet อีกครั้งก่อนจะบันทึก เนื่องจากธุรกรรมถูกคำนวณมาเสร็จแล้วจาก Layer 2 ใช้เพียงแค่ Mainnet เป็นที่เก็บธุรกรรมเฉยๆ จึงทำให้การบันทึกแบบ Blob สามารถหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมที่สูงจาก Mainnet ได้ และทำให้ Layer 2 มีค่าธรรมเนียมที่ถูกลงอย่างมาก ดึงดูดให้ผู้ใช้งานรายย่อยและธุรกิจให้มาใช้งาน Layer 2 ได้มากขึ้นนั่นเอง