สิ่งที่ควรรู้ก่อน Shanghai Upgrade ของ Ethereum

 ในวันที่ 13 เม.ย. เวลาประมาณ 05:27 น. เป็นวันที่ Ethereum Foundation จะทำการอัปเกรด Ethereum ครั้งสำคัญนั่นคือ Shanghai Upgrade (Shapella Upgrade)

ซึ่งเป็นการอัปเกรดที่จะเปิดให้ Unstake ETH จำนวนกว่า 18m ETH มูลค่าราว 32,580 ล้านดอลลาร์ ออกจาก Beacon Chain หลังจากที่เปิดให้ Stake อย่างเดียวมาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 นักลงทุนหลายฝ่ายจึงกังวลมากว่าในวันนั้นจะมี “แรงเทขาย ETH” จำนวนมากหรือไม่

ซึ่งจากการเก็บสถิติย้อนหลังเทียบกับราคา ETH ในปัจจุบันพบว่าจะมี Validator Node ประมาณ 54% ที่ต้นทุน ETH ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ($1,810) ซึ่งอาจทำให้คนที่ยังขาดทุนนั้นยังไม่คิดจะเทขายก็เป็นได้ 

แต่ถ้าเราเจาะรายละเอียดลงไปมากกว่านั้น จะพบว่า ETH บางส่วนนั้นฝากผ่านแพลตฟอร์ม Liquid Staking ซึ่งทำให้ ETH จำนวนนั้น “มีสภาพคล่อง” อยู่แล้ว

แพลตฟอร์ม Liquid Staking เป็นเหมือน Marketplace ที่เปิดให้คนที่มี ETH แต่ไม่พร้อมสร้าง Node และคนที่มีความพร้อมในการสร้าง Node แต่ไม่มี ETH ได้เจอกัน โดยคนที่ฝาก ETH จะได้รับ Liquid Staking Derivative (LSD) เป็นเหมือนใบเสร็จในการฝาก ETH ให้คนอื่นสร้าง Node

ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม Lido จะให้ stETH เป็น LSD แก่คนฝาก ETH หรือ Coinbase จะให้ CBETH เป็นต้น ซึ่งใบเสร็จเหล่านี้เป็นตัวแทน ETH ที่ฝากคนอื่นสร้าง Node มูลค่าของมันจึงใกล้เคียงกับการถือ ETH และสามารถนำใบเสร็จนี้ไปขายทอดตลาดหรือเปลี่ยนมือกันได้ 

เพราะฉะนั้นการที่ คนฝาก ETH ผ่านแพลตฟอร์ม Liquid Staking จึงเหมือนถอน ETH ออกได้ทุกเวลาอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอ Shanghai Upgrade การวิเคราะห์แรงเทขายในวันนั้น จึงต้องดูในรายละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม

ปัจจุบันมี Validator Node ที่สร้างผ่าน Lido ในสัดส่วน 31.24%, Coinbase 12.54%, Kraken 6.87%, Binance 5.72% และอื่นๆอีก 3.93% รวมเป็น 60.3% ที่ Stake ผ่านแพลตฟอร์ม Liquid Staking มีเพียงประมาณ 40% เท่านั้นที่สร้าง Node ด้วยตัวเองที่เราต้องกังวลว่าจะเทขายหลังจาก Shanghai Upgrade หรือไม่

จากข้อมูลของบริษัท Nansen วิเคราะห์ว่า 59% ของกลุ่มคนที่สร้าง Node เองหรือประมาณ 3.62m - 4m ETH มีกำไรจึงอาจจะเป็น กลุ่มถอนออกบางส่วนหรือถอนทั้งหมดหลังจากอัปเกรด 

แต่ในส่วนที่ถอนนั้นก็เพื่อที่จะนำมา Restake ผ่านแพลตฟอร์ม Liquid Staking หรือกลุ่ม Eigenlayer เป็นส่วนใหญ่ มีเพียง 1.2m - 3m ETH เป็นอย่างมากเท่านั้นที่จะนำมาเทขายในตลาด

ซึ่งผลลัพธ์ใกล้เคียงกับการสำรวจที่พบว่ามีเพียง 0.2% ของ Validator Node ทั้งหมดจะถอน ETH ทั้งหมดออก คิดเป็นประมาณ 37,330 ETH และ ETH ส่วนที่เกิน 32 ETH จาก Block Subsidy นั้นทุกคนจะถอนออกเพราะวางทิ้งไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์ โดยเฉลี่ยแล้วจะมีอย่างน้อย 1.12m ETH ที่เตรียมถอนออก 

ดังนั้นจะมี 1.157m ETH เตรียมถอนออกโดยเฉลี่ยภายใน 7 วัน หรือคิดเป็น 0.9% ของ ETH supply ทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าประมาณ 299.16 ล้านดอลลาร์ต่อวัน แม้จะดูมูลค่าสูง แต่มูลค่าการซื้อขายของ ETH นั้นอยู่ที่ 13,661 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน คิดเป็นเพียง 2.1% เท่านั้น

เราจึงคิดว่าราคา ETH อาจจะมี Panic Sell ในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งเป็นโอกาสเก็บสะสม ETH เพิ่มที่ดี เนื่องจากการอัปเกรดถัดไปจะเป็นเรื่อง EIP-4844 ที่จะส่งผลให้ค่าธรรมเนียมของ Ethereum Layer 2 ต่ำลงพอๆกับ Alternative Blockchain Layer 1 ตัวอื่นๆ ทำให้เม็ดเงินอาจไหลกลับมาใช้ Ethereum Layer 2 ซึ่งจะส่งผลให้ ETH ถูกใช้งานและเผาทิ้งออกไปจากระบบมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น หากปัจจัยมหภาคยังนิ่ง เราคิดว่า ETH จะเป็นเหรียญที่ Outperform ตลาดได้

นอกจากนี้ เหรียญ Goverance ของแพลตฟอร์ม Liquid Staking ก็ยังน่าจับตามองเช่นกัน เพราะกลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์มากขึ้นหาก Shanghai Upgrade เสร็จสิ้น เราจะขอยกตัวอย่าง แพลตฟอร์มที่น่าสนใจและมีศักยภาพ 4 แพลตฟอร์ม ดังนี้

LDO ของ Lido Finance แพลตฟอร์มที่มี Market Share 31.24% ทิ้งห่างอันดับ 2 ไปเกือบ 3 เท่า Lido จึงเป็นผู้นำตลาดอย่างชัดเจน เหรียญ LDO ในตอนนี้ยังไม่มีโมเดลรายได้ แต่ Lido Finance เก็บค่าธรรมเนียม 10% จากรายได้การเป็น Validator Node จากคนฝาก ETH ซึ่งแบ่ง 5% ให้คนสร้าง Node และอีก 5% เข้า Treasury ของ Lido Finance ดังนั้นการถือเหรียญ LDO ซึ่งมีอำนาจในการคุมเงินใน Treasury นี้จึงเป็นบวกทางอ้อมต่อราคา LDO ที่อาจปรับตัวสูงขึ้น    

RPL ของ Rocket Pool แพลตฟอร์มนี้เปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถยืม 16 ETH ไปสร้าง Validator Node ของตัวเองได้ โดยเรียกว่า Minipool ซึ่งคนที่ยืมไปนั้นต้องใช้ 16 ETH ของตัวเองและเหรียญ RPL มูลค่า 10% ของ ETH มาวางค้ำประกัน ดังนั้นยิ่งมีการยืม ETH ไปสร้าง Node มากเท่าไหร่ ก็จะมีแรงซื้อเหรียญ RPL มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งในเดือนนี้ Rocket Pool จะเพิ่มทางเลือกให้คนสร้าง Node ใช้แค่ 8 ETH ในการค้ำประกัน แต่ใช้เหรียญ RPL มูลค่า 30% ของ ETH ค้ำประกัน ซึ่งจะเพิ่มความต้องการใช้งานของเหรียญ RPL มากขึ้นไปอีก

FXS ของ Frax Finance แพลตฟอร์มเจ้าของ Frax Stablecoin ที่ขยาย Line Product มาทำเรื่อง Liquid Staking ด้วยเช่นกัน ซึ่ง Frax Finance มีจุดเด่นที่การนำ LSD ไปใช้สำหรับ Lending และ Yield Farming ได้ด้วย แต่ผู้ใช้งานต้องเลือกว่าจะรับผลตอบแทนจากการเป็น Validator Node หรือรายได้จากทางอื่นซึ่งผลตอบแทนดีไม่แพ้กัน ทำให้ LSD ของ Frax Finance มักจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุดในตลาด

SD ของ Stader แพลตฟอร์มที่มีประสบการณ์ในการทำ Liquid Staking บนเชนอื่นมาก่อน ใกล้จะเปิดตัวบน Ethereum เร็วๆนี้แล้ว โดย Stader มีโมเดลให้คนมายืม ETH ในการสร้าง Node โดยให้ยืมได้สูงสุดถึง 28 ETH และใช้ของตัวเองเพียง 4 ETH เท่านั้น และใช้เหรียญ SD มูลค่า 10% ของ ETH เช่นเดียวกันกับ Rocket Pool

โดยสรุปแล้ว ในช่วงวันที่ 13 เม.ย.นี้ ต้องจับตา การเคลื่อนไหวของราคา ETH รวมถึงเหรียญใน กลุ่ม Liquid Staking ให้ดี เพราะ Shanghai Upgrade จะเป็นอีเว้นท์สำคัญที่ส่งผลต่อ Sentiment ของตลาดอย่างมาก และในมุมมหภาคยังมีการประกาศ CPI ในวันที่ 12 เม.ย.อีกด้วย ตลาด Cryptocurrency จะตอบรับอย่างไรควรจับตาดูอย่างใกล้ชิดครับ