Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 4 August 2025

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 4 August 2025

ราคาน้ำมันดิบผันผวน จากความกังวลมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียที่เข้มงวดขึ้น ท่ามกลางมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.

ไทยออยล์คาดราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวที่กรอบ 64-74 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
ส่วนน้ำมันดิบเบรนท์เคลื่อนไหวที่กรอบ 67-77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

Thaioil Weekly Oil Market and Outlook as of 4 August 2025

แนวโน้มสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ (1 – 7 ส.ค. 68)

ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวนเนื่องจากตลาดกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันที่อาจตึงตัว เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศลดกรอบเวลาสำหรับรัสเซียและยูเครนในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง เหลือเพียง 10-12 วัน พร้อมขู่จะเดินหน้าเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้ารัสเซียสูงขึ้นหากไร้ความคืบหน้าในการเจรจา

ขณะเดียวกัน ตลาดยังเฝ้าจับตาผลกระทบจากการปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค. นี้ โดยการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนมีความคืบหน้า เนื่องจากทั้งสองฝ่ายตกลงขยายเวลาผ่อนผันมาตรการภาษีตอบโต้ แม้จะยังไม่มีกรอบเวลาที่แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เติบโตเกินคาด ประกอบกับเฟดที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ 4.25-4.50%  เพื่อชะลอแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ทางด้านฝั่งอุปทาน ตลาดจับตามองความเคลื่อนไหวของโอเปคพลัสในการตัดสินใจปรับเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมกลุ่มในวันที่ 3 ส.ค.นี้ 

 

ปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์นี้

•  ตลาดยังเผชิญความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานน้ำมันที่อาจตึงตัวเนื่องจากโดนัลด์ ทรัมป์ได้ประกาศลดกรอบเวลาสำหรับให้รัสเซียและยูเครนบรรลุข้อตกลงหยุดยิง จากเดิมที่กำหนดไว้ 50 วัน (ภายในวันที่ 2 ก.ย.) เหลือเพียง 10-12 วัน (ภายในวันที่ 8 ส.ค.) โดยให้เหตุผลว่า รัสเซียไม่ได้ดำเนินการใดๆ ที่แสดงถึงความพยายามในการยุติความขัดแย้ง

หากไม่มีความคืบหน้า สหรัฐฯ จะเตรียมบังคับใช้มาตรการภาษีทุติยภูมิ (Secondary Tariffs) ต่อรัสเซีย ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อประเทศผู้นำเข้าหลักของรัสเซีย ได้แก่ จีน อินเดีย และตุรกี โดยล่าสุด สหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดีย 25% มีผลวันที่ 1 ส.ค. 68 ในฐานะผู้นำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย พร้อมทั้งขู่ว่าอาจมีบทลงโทษเพิ่มเติม

อีกทั้งเตือนจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของรัสเซียว่าอาจเผชิญกับภาษีในอัตราที่สูงหากยังคงนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียอยู่ ขณะที่ปัจจุบัน รัสเซียส่งออกน้ำมันดิบสู่ประเทศเหล่านี้รวมกันราว 4 ล้านบาร์เรลต่อวัน

•  ตลาดยังคงกังวลผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ครบกำหนดในวันที่ 1 ส.ค. 68 โดยก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่าจะประกาศเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐาน (Baseline Tariff) จากเดิมร้อยละ 10 มาอยู่ที่ ร้อยละ 15-20 ต่อสินค้าจากประเทศที่ยังไม่ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ และกล่าวเพิ่มเติมว่ามีหลายประเทศยังไม่เจรจาข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ

ขณะเดียวกันล่าสุด สหรัฐฯ และจีนได้ตกลงขยายระยะเวลาการผ่อนผันการบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้ออกไป จากเดิมที่ครบกำหนดวันที่ 12 ส.ค. หลังได้มีการเจรจาร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และจีนที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายไม่ได้กำหนดเวลาที่ชัดเจนของการขยายเวลาการระงับการขึ้นภาษีแต่อย่างใด 

•  ตลาดจับตาการประชุมกลุ่มโอเปคพลัสที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ส.ค. 68 เพื่อพิจารณาการปรับเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันสำหรับเดือนก.ย. 68 ทั้งนี้ ตลาดคาดว่าโอเปคกพลัสจะยังคงเดินหน้าปรับเพิ่มกำลังการผลิตในระดับสูง ส่งผลให้กลุ่มโอเปคพลัสสามารถบรรลุแผนการเพิ่มกำลังผลิตรวมจำนวน 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในเดือน ก.ย. 68 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดเดิมที่วางไว้ในเดือน ก.ย. 69

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการร่วมระดับรัฐมนตรีด้านการตรวจสอบ (JMMC) ของกลุ่มโอเปค ได้มีมติให้สมาชิก       ทุกประเทศปฏิบัติตามโควตาการผลิตอย่างเคร่งครัด และเรียกร้องให้ประเทศที่ผลิตเกินโควตา อาทิ คาซัคสถาน และอิรัก  ส่งแผนชดเชย (Compensation Plan) ภายใน 18 ส.ค. 

 เศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตสูงกว่าคาดเนื่องจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ ไตรมาส 2/68 ขยายตัว 3% ซึ่งสูงกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.3 % หลังได้รับแรงหนุนจากดุลการค้าและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ฟื้นตัว ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25-4.50% เป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด โดยเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 5 แม้จะถูกดดันจากทรัมป์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงก็ตาม

• ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ โดย S&P เดือน ก.ค. 68 จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ รายงานดัชนีผลิตภาพแรงงานนอกภาคการเกษตร รายไตรมาส 2/68 รายงานปริมาณสินค้าคงคลังภาคการค้าส่ง เดือน มิ.ย. 68  สินเชื่อผู้บริโภค เดือน มิ.ย. 68 งบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของยุโรป ได้แก่ รายงานดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน โดย Sen tix เดือน ส.ค. 68 ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือน มิ.ย. 68 ดัชนียอดขายปลีก เดือน มิ.ย. 68

ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของจีน ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการโดย Caixin เดือน ก.ค. 68 ปริมาณการส่งออกและนำเข้า เดือน ก.ค. 68 ดุลการค้า เดือน ก.ค. 68 ทุนสำรองระหว่างประเทศ ก.ค. 68 ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิต เดือน ก.ค. 68

สรุปสถานการณ์ราคาน้ำมันในสัปดาห์ที่ผ่านมา (25 – 31 ก.ค. 68)

ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้น 1.66 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 68.07 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับเพิ่มขึ้น 2.40 ดอลลาร์สหรัฐฯ มาอยู่ที่ 71.35 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หลังตลาดได้รับแรงหนุนจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปบรรลุข้อตกลงทางการค้า โดยจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปที่อัตรา 15% ลดลงจากก่อนหน้าที่ระดับ 30%

นอกจากนี้ ข้อตกลงดังกล่าวยังรวมถึงการจัดซื้อพลังงานจากสหรัฐฯ มูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และการเพิ่มการลงทุนในสหรัฐฯ อีก 6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในอนาคต ขณะเดียวกัน ทรัมป์ได้ประกาศลดระยะเวลาเส้นตายที่ให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครนจากเดิม 50 วัน เหลือเพียง 10-12 วัน โดยกล่าวเตือนว่าจะใช้มาตรการคว่ำบาตร

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันทางการเมืองต่อรัสเซียและเพิ่มความกังวลด้านอุปทานพลังงานจากภูมิภาคยุโรปตะวันออก อีกทั้งนักวิเคราะห์จับตาท่าทีของรัสเซียที่กำลังพิจารณาการลดปริมาณการส่งออกน้ำมันเบนซินกับทุกประเทศ ยกเว้นประเทศพันธมิตรบางประเทศ อาทิ มองโกเลีย ซึ่งได้ลงนามสัญญาจัดหาน้ำมันกับรัสเซีย

อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงกดดันเนื่องจากสหรัฐฯ เตรียมพิจารณาผ่อนปรนให้บริษัทน้ำมันรายใหญ่ เชฟรอน (Chevron) ให้กลับมาดำเนินการในเวเนซุเอลาได้อีกครั้ง หลังถูกยกเลิกใบอนุญาตเมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา โดยการพิจารณาดังกล่าวเกิดขึ้นหลังสหรัฐฯ และเวเนซุเอลาสามารถบรรลุข้อตกลงในการแลกเปลี่ยนนักโทษระหว่างกัน

ขณะที่ทางด้านสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 25 ก.ค. 68 ปรับเพิ่มขึ้น 7.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 426.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งสวนทางจากที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล