วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ความหวังเจรจาการค้า ขณะในประเทศกดดันจากการเมือง

ภาพรวมตลาดโลกมีแรงหนุนจากความคาดหวังเจรจาการค้า สหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงการค้ากับอังกฤษ เป็นประเทศแรก โดยอังกฤษยังคงถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 10%
แม้จะเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ และไม่ได้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกประกาศภาษีการค้าตอบโต้ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนว่า 1) ตัวเลขดังกล่าวเป็นอัตราภาษีต่ำสุดที่แต่ละประเทศต้องมีภาระเพิ่ม และตัวเลขจริงขึ้นกับการเจรจา 2) แต่ละประเทศอาจต้องเปิดกว้างรับสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ มากขึ้น ซึ่งในกรณีอังกฤษ มีการลดอุปสรรคต่างๆ ลดเวลาผ่านศุลกากร รวมไปถึงการให้โควตานำเข้าเนื้อวัวสหรัฐฯ 13,000 ตัน แบบปลอดภาษี 3) นโยบายภาษีการค้าเริ่มเข้าสู่รูปแบบของการเจรจาแบบเลือกพันธมิตร // ภาพการเจรจาดังกล่าวรวมถึงอีกหลายดีลที่จะประกาศในช่วง 1-2 สัปดาห์หน้า คาดเป็นบวกต่อบรรยากาศลงทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตามตลาดให้น้ำหนักกับการหารือกับจีน ที่จะเกิดขึ้นที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันเสาร์ที่ 10 พ.ค.นี้ โดยจีน ย้ำจุดยืนยันเรียกร้องให้สหรัฐฯยกเลิกภาษีการค้าที่กำหนดกับจีน ทำให้การเจรจาการค้าอาจต้องใช้เวลากว่าจะได้ข้อสรุป
ภาพรวมในประเทศความกังวลการเมืองและเสถียรภาพรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น: แรงกดดันด้านการเมืองสูงขึ้นจาก 1) การตรวจสอบเกี่ยวกับคดีฮั้วการเลือกสว. ที่อาจทำให้สว.บางส่วนถูกดำเนินคดี และหลุดจากตำแหน่ง 2) การขอเดินทางออกนอกประเทศของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกตีความถึงความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการดำเนินคดี 3) การตรวจสอบกรณีอาการป่วยของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งแพทยสภา มีมติลงโทษแพทย์ 3 ราย หลังให้ข้อมูลรักษาไม่ตรงความเป็นจริง // สถานการณ์ข้างต้นทำให้นักลงทุนกังวลความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งจะกระทบต่อการดำเนินนโยบายต่างๆ รวมไปถึงกังวลต่อโอกาสยุบสภา ซึ่งจะกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน ปัจจัยดังกล่าวจะสร้างแรงกดดันต่อหุ้นที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ รวมไปถึงการท่องเที่ยว ทำให้หุ้นในกลุ่มที่น่าสนใจจะเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการถูกปรับลด
ประมาณการกำไรต่ำ อาทิ การแพทย์, สื่อสาร, โรงไฟฟ้า, สาธารณูปโภค เป็นต้น ขณะที่อาจมีแรงเก็งกำไรในกลุ่มที่มีปัจจัยฤดูกาลหนุนผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/68 หรือผลประกอบการมีแนวโน้มต่ำสุดไปแล้วในระยะสั้น อย่าง พลังงาน PTT, BCP, PTTEP, TOP, SPRC ปิโตรเคมีและบรรจุภัณฑ์ (ต่ำ PBV) ได้แก่ PTTGC (0.31x), SCC (0.57x), SCGP (0.85x), IVL (0.86x)
ภาพรวมกลยุทธ์ โมเมนตัมเก็งรายตัวยังบวกหากไม่หลุด 1,190 จุด คาดเม็ดเงิน Thai ESG Extra มีโอกาสเป็นปัจจัยหนุนบรรยากาศลงทุนช่วงต้น พ.ค. ขณะที่สามารถเก็งกำไร การเงิน (MTC, SAWAD)หุ้นปลอดภัย โรงไฟฟ้า, การแพทย์, สื่อสาร (EGCO, RATCH, BDMS, BCH, ADVANC, TRUE) และกลุ่มอาหาร ที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี โดยเฉพาะผู้ผลิตเนื้อสัตว์ (TFG, GFPT, BTG, CPF, NSL) ขณะทางพื้นฐานยังระวังการลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะ กลุ่มอาหารที่มีรายได้จากสหรัฐฯ สูง (TU, ITC) และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม
แนวรับ: 1,190-1,200 แนวต้าน: 1,239-1,250 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• CPN (60) : ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER 14 เท่า ใกล้เคียงช่วง covid ตัดขาดทุน 49.50 บาท
• GUNKUL (2) : Valuation ไม่แพง ซื้อขายเพียง 8.55x PER ตัดขาดทุน 1.57ท
• RATCH (29): ข่าวการปรับลดค่าไฟ (Ft) ไม่มีผลต่อ IPP ขณะที่การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศจะได้ปัจจัยบวกจากต้นทุนพลังงานที่ลดลง ตัดขาดทุน 25 บาท
• PTTGC (23) : ราคาหุ้นตอบรับผลประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว หุ้นมีการถือครองต่ำ ขณะที่ซื้อขายด้วย PBV เพียง 0.32 เท่า ตัดขาดทุน 17.30 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- สหรัฐเผยสต๊อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค
- สหรัฐเผยตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานต่ำกว่าคาด
- BoE หั่นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด
- Maersk หั่นคาดการณ์ตลาดขนส่งโลก เหลือ -1% ถึง +4% เหตุสงครามการค้า
- บทวิเคราะห์วันนี้ : Contruction แนะนำ OVERWEIGHT โดย Top Pick คือ STECON// NTL (TIDLOR) แนะนำ ซื้อ เป้า 21 บาท// OR แนะนำ ถือ เป้า 16 บาท// AOT แนะนำ ถือ เป้า 43 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
9 พ.ค. – CN Balance of Trade (Apr)
13 พ.ค. – US CPI (Apr)
15 พ.ค. – US PPI (Apr)







