วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ เฟดคงดอกเบี้ยตามคาด

เฟดคงดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ขณะเตือนผลกระทบภาษีการค้า คณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐฯ (FOMC) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25%–4.5%
โดยประธานเฟดระบุถึงความเสี่ยงจากภาษีการค้าหากถูกบังคับใช้อย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น, เศรษฐกิจชะลอตัว, และ การว่างงานสูงขึ้น ทั้งนี้ผลของภาษีอาจเป็นเพียงชั่วคราวหรืออาจยืดเยื้อ ซึ่งเฟดจะไม่ปรับดอกเบี้ยเชิงรุกจนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจน
การเข้าซื้อพันธบัตรและแข็งค่าของเงินบาทเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดทุน: เราประเมินการแข็งค่าของเงินบาทช่วงนี้เกิดจาก 1) แรงซื้อกระจายความเสี่ยงจากการถือสินทรัพย์สกุล USD ที่มีโอกาสอ่อนค่าลงจากแนวโน้มผลกระทบเชิงลบของนโยบายการค้าต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไปยังสินทรัพย์สกุลอื่นๆ ซึ่งรวมถึงพันธบัตรไทย (ต่างชาติซื้อสุทธิพันธบัตรไทย 38,713 ล้านบาท ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา) 2) ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่มีโมเมนตัมชะลอตัวลง ทั้งเงินเฟ้อ เม.ย. -0.22% YoY (เทียบกับคาดการณ์ที่ -0.10% และมี.ค.ที่ +0.84%) การประกาศ GDP ไตรมาส 1/68 ของสภาพัฒน์กลางพ.ค. ที่น่าจะเห็นการปรับลดคาดการณ์ลง หนุนเงินลงทุนเข้าตราสารหนี้มากกว่าตราสารทุน 3) โมเมนตัมเศรษฐกิจที่ชะลอ ทำให้การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสต่ำกว่า 1.5% เป็นอัพไซด์ต่อราคาตราสารหนี้ไทย
เงินทุนไหลเข้าบางส่วนมีโอกาสเข้าสู่ตลาดหุ้น: เรามองหุ้นในกลุ่มปลอดภัย (defensive)/ กระแสเงินสดมั่นคงคล้ายตราสารหนี้ (bond-like-stock) มีโอกาสได้ allocation ไปด้วย ประเมินกลุ่มได้ประโยชน์ ได้แก่ 1. หุ้นใหญ่ที่เป็น bond-like-stock ในกลุ่ม สื่อสาร, การแพทย์, โรงไฟฟ้า อาทิ ADVANC, BDMS, BCH, GULF, RATCH, EGCO (โรงไฟฟ้าหลายรายได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า) 2. กลุ่มหุ้นใหญ่ที่ underowned อาทิ พลังงาน (ที่ cash flow ดี) PTT, BCP, PTTEP, TOP, SPRC / ปิโตรเคมี (ต่ำมูลค่าทางบัญชีมาก แต่ไม่มีความเสี่ยงเรื่องหนี้) PTTGC (0.29x), SCC (0.57x), SCGP (0.78x) 3. กลุ่มได้ประโยชน์
จากลดดอกเบี้ย MTC, SAWAD, CPN // ขณะที่กลุ่มที่ตลาดอาจระวังหรือเห็นการลดน้ำหนักในช่วงต่อไป อาจเป็น 1. ธนาคารพาณิชย์ (ปรับลด GDP / ความไม่แน่นอนของผลประกอบการครึ่งปีหลัง) และ 2. นิคมอุตสาหกรรม (การย้ายฐานการผลิตมีแนวโน้มชะลอตัวนาน)
ภาพรวมกลยุทธ์ กรอบการเล่นยกขึ้นเป็น 1,200-1,250 จุด คาดเม็ดเงิน Thai ESG Extra มีโอกาสเป็นปัจจัยหนุนบรรยากาศลงทุนช่วงต้น พ.ค. ขณะที่สามารถเก็งกำไร การเงิน (MTC, SAWAD)หุ้นปลอดภัย โรงไฟฟ้า, การแพทย์, สื่อสาร (EGCO, RATCH, BDMS, BCH, ADVANC, TRUE) และกลุ่มอาหาร ที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี โดยเฉพาะผู้ผลิตเนื้อสัตว์ (TFG, GFPT, BTG, CPF, NSL) ขณะทางพื้นฐานยังระวังการลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะ กลุ่มอาหารที่มีรายได้จากสหรัฐฯ สูง (TU, ITC) และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม
แนวรับ: 1,208-1,214 แนวต้าน : 1,239-1,250 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• CPN (60) : ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER 14 เท่า ใกล้เคียงช่วง covid ตัดขาดทุน 49.50 บาท
• GUNKUL (2) : Valuation ไม่แพง ซื้อขายเพียง 8.55x PER ตัดขาดทุน 1.58 บาท
• RATCH (29): ข่าวการปรับลดค่าไฟ (Ft) ไม่มีผลต่อ IPP ขณะที่การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศจะได้ปัจจัยบวกจากต้นทุนพลังงานที่ลดลง ตัดขาดทุน 25 บาท
• PTTGC (23) : ราคาหุ้นตอบรับผลประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว หุ้นมีการถือครองต่ำ ขณะที่ซื้อขายด้วย PBV เพียง 0.32 เท่า ตัดขาดทุน 17.30 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- จีนประกาศลด RRR-ดอกเบี้ยนโยบาย หวังเพิ่มสภาพคล่อง-กระตุ้นเศรษฐกิจ
- "ทรัมป์" ยอมรับยังไม่ได้พบเจ้าหน้าที่จีนเพื่อหารือข้อตกลงการค้า
- กัมพูชาระงับนำเข้าปศุสัตว์จากไทยชั่วคราว สกัดแอนแทรกซ์ระบาด
- กกร. หั่นคาดการณ์ GDP-ส่งออกไทยปี 68 ผลพวงภาษีทรัมป์ ห่วงส่งออกทั้งปีติดลบหากถูกรีดภาษีสูง 36%
- ไทยน้ำทิพย์ คอร์ปอเรชั่น" เจ้าตลาด Coca-Cola ในไทย ยื่นไฟลิ่งขาย IPO ราว 612.45 ล้านหุ้นเข้า SET
- บทวิเคราะห์วันนี้ : BSRC แนะนำ ซื้อ เป้า 7 บาท/ BCH แนะนำ ซื้อ เป้า 20 บาท/ SABINA แนะนำ ซื้อ เป้า 22 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
8 พ.ค. – US Jobless Claims
9 พ.ค. – CN Balance of Trade (Apr)
13 พ.ค. – US CPI







