วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ลุ้นการปรับขึ้นต่อของดัชนี

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ลุ้นการปรับขึ้นต่อของดัชนี

ระยะสั้นอาจมีแรงขายบ้าง แต่มองเป็นโอกาสลงทุน ประเมินแนวโน้ม SET Index จะเริ่มมีแรงขายทำกำไรหลังปรับขึ้นราว 15% จากจุดต่ำสุด

หลังคลายความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่มีแนวโน้มดีขึ้น ประกอบกับกลุ่มธนาคารที่มีแรงขายหลัง 1) แนวโน้มดอกเบี้ยเข้าสู่ขาลง และมีโอกาสที่กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และ 2) ได้รับ sentiment เชิงลบ หลัง Moody’s ปรับลด outlook จาก “stable” เป็น “negative” ตามแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่อ่อนแอ และ Moody’s ได้มีการปรับลด outlook ไปก่อนหน้านี้ ทั้งนี้เราประเมินในช่วงครึ่งแรกของเดือน SET Index ยังมีโอกาสปรับขึ้นทดสอบบริเวณ 1,220-1,270 ได้ จาก 1) ยังอยู่ในช่วง 90 วัน ที่สหรัฐฯ พักการใช้ Reciprocal Tariff, 2) ประเมินการปรับลดประมาณการ GDP เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น หลังหลายๆ สำนักได้ทำประมาณการไว้ต่ำในระดับหนึ่งแล้ว, 3) อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่งผลให้ดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจดทะเบียนปรับลดลง หนุนให้กำไรปกติปรับเพิ่มขึ้น และส่งผลให้เกิดการ re-rating มูลค่าหุ้นในบาง sector 

ค่าเงินบาทแข็ง หนุน SET Index ปรับขึ้นต่อ ค่าเงินบาท และค่าเงินของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เราประเมินเกิดจาก แรงซื้อพันธบัตร และตราสารทุนในประเทศ เพื่อหลบภัยในช่วงที่สงครามการค้ายังคงมีความไม่แน่นอน โดยเรามองการแข็งค่าของค่าเงินบาทจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย จากการดึงดูดเงินลงทุนต่างชาติให้ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น  

ประเมินตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อเนื่อง: สำหรับวันนี้เราประเมินตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้จากปัจจัยกดดันต่างๆ เริ่มผ่อนคลาย และคาดจะเริ่มมีแรงซื้อจากกองทุน ThaiESG Extra เข้ามาจากผู้ที่โอนเงินมาจากกองทุน LTF เดิม เราแนะนำให้เน้นลงทุนให้หุ้นขนาดใหญ่เพื่อตอบรับโอกาสที่เงินลงทุนจะไหลเข้าในช่วงนี้

 

ภาพรวมกลยุทธ์ ดัชนีผ่าน 1,180 ทำให้กรอบด้านบนอยู่ที่แนวต้าน 1,200/1,220 จุด ควรเสี่ยงลดน้ำหนักหรือขายทำกำไรธนาคาร ขณะที่สามารถเก็งกำไร การเงิน (MTC, SAWAD)หุ้นปลอดภัย โรงไฟฟ้า, การแพทย์, สื่อสาร (EGCO, RATCH, BDMS, BCH, ADVANC, TRUE) และกลุ่มอาหาร ที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี โดยเฉพาะผู้ผลิตเนื้อสัตว์ (TFG, GFPT, BTG, CPF, NSL) ขณะทางพื้นฐานยังระวังการลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะ กลุ่มอาหารที่มีรายได้จากสหรัฐฯ สูง (TU, ITC) และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม

แนวรับ: 1,180 แนวต้าน : 1,200-1,220 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    CPF (30) : ผลการดำเนินงานมีแนวโน้มแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรก และมีปัจจัยบวกระยะถัดไปจากนำ CPP เข้าจดทะเบียนในตปท. ตัดขาดทุน 24.50 บาท
•    BDMS (25) : คาดผลการดำเนินงาน 1Q25 เติบโตดี หนุนจากผู้ป่วยชาวไทย ขณะที่อัตรากำไรยังทำได้ดีต่อเนื่อง ตัดขาดทุน 22.50 บาท
•    BANPU (5): คาดได้ประโยชน์จากนโยบายส่งเสริมการใช้ Fossil Fuel ของทรัมป์ หนุนราคา Henry Hub ในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น ตัดขาดทุน 4.20 บาท
•    GULF (70) : ได้แรงหนุนหลังการควบรวมกับ INTUCH ส่งผลให้ผลการดำเนินงานปี 2568 เติบโตเด่น ตัดขาดทุน 46.50 บาท

ประเด็นที่น่าสนใจ

-    ISM เผยดัชนีภาคบริการสหรัฐฯ ขยายตัวเกินคาดในเดือนเม.ย.
-    ราคาน้ำมัน WTI ร่วงกว่า 1% หลังโอเปคพลัสมีมติเพิ่มการผลิตในเดือนมิ.ย.
-    ทรัมป์ขู่รีดภาษี 100% กับภาพยนตร์ที่ผลิตนอกสหรัฐฯ หวังดึงการถ่ายทำกลับประเทศ
-    “สีจิ้นผิง” เตรียมเยือนรัสเซีย- “ทรัมป์” เดินสายเยือนตะวันออกกลาง
-    "พิชัย" ถก Seagate รับมือภาษีทรัมป์ มั่นใจศักยภาพไทยเป็นฐานผลิตเทคโนโลยีโลก
-    กทม.แจงภาระหนี้ สายสีเขียว จ่ายแล้วกว่า 37,000 ล้าน เดินหน้าเคลียร์ที่เหลือ


 

-    ไทยเล็งหารืออาเซียนหาช่องต่อรอง “ภาษีสหรัฐฯ”
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : MINT แนะนำ ซื้อ เป้า 38 บาท/ ERW แนะน ซื้อ เป้า 4.70 บาท/ AH แนะนำ ถือ เป้า 12.20 บาท   

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

5 พ.ค. – US ISM Service PMI 
7 พ.ค. – TH Inflation Rate (April)
8 พ.ค. – Fed Interest Rate Decision
 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ลุ้นการปรับขึ้นต่อของดัชนี