วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก หุ้นกลุ่มพลังงานกดตลาด

วันศุกร์ที่ผ่านมาดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดราว 17 จุด ในช่วงเปิดตลาด ตามทิศทางตลาดต่างประเทศ หลัง “ทรัมป์” ปธน.สหรัฐ เผยว่ามีโอกาสบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับอินเดีย เกาหลี และญี่ปุ่น
ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลสงครามการค้า ประกอบกับมีแรงซื้อจากกองทุน TESGX ที่เสนอขายเป็นวันแรก อย่างไรก็ตามมีแรงขายทำกำไร ทำให้ดัชนีลดช่วงบวก มีแรงซื้อนำโดยหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และไอซีที มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคาร ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,198.98 จุด +1.72 จุด +0.14% มูลค่าการซื้อขาย 45,633.02 ลบ. (ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี +39.98 จุด 3.45%) Program Trading -1,256.51 ลบ. ต่างชาติ -1,354.52 ลบ. TFEX -10,493 สัญญา ตราสารหนี้ +1,578.08 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ ดัชนีภาคบริการของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 51.6 ในเดือนเม.ย. เพิ่มขึ้นจากระดับ 50.8 ในเดือนมี.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 50.6 โดยดัชนียังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคบริการ
+ โฆษกกระทรวงพาณิชย์จีนแถลงว่า จีนกำลังประเมินสถานการณ์ หลังจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ติดต่อเพื่อขอเจรจาเรื่องภาษีศุลกากร
+ รัฐบาลสหรัฐฯ พร้อมทุ่มเทเวลาอีก 100 วันในการเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียกับยูเครน
+ สหภาพยุโรป (EU) พร้อมที่จะเสนอซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นมูลค่าถึง 5 หมื่นล้านยูโร (5.646 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อแก้ไขปัญหาที่ขัดขวางความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสองฝ่ายอยู่ในขณะนี้
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 98.60 จุด หรือ -0.24% ขณะที่นักลงทุนประเมินมาตรการภาษีศุลกากรครั้งล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ รวมทั้งจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟด ในสัปดาห์นี้
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.16 ดอลลาร์ หรือ -2% ปิดที่ 57.13 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปคพลัส) ประกาศเพิ่มการผลิตน้ำมัน ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อุปสงค์น้ำมันอยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอน
- ปธน.ทรัมป์ประกาศผ่านแพลตฟอร์ม Truth Social ว่าจะเรียกเก็บภาษี ในอัตรา 100% กับภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผลิตในต่างประเทศ พร้อมอ้างว่าได้มอบอำนาจให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ เริ่มบังคับใช้ภาษีศุลกากรดังกล่าวในทันที
- ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับ 50.8 ในเดือนเม.ย. ต่ำกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ 51.4 และชะลอลงจากระดับ 54.4 ในเดือนมี.ค.
- เจ้าหน้าที่อิสราเอลเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีความมั่นคงของอิสราเอลได้ลงมติยกระดับปฏิบัติการโจมตีกลุ่มฮามาสในกาซาจนกว่าจะยึดครองพื้นที่ได้ทั้งหมด
- รัฐมนตรีกลาโหมอิหร่าน เตือนว่า อิหร่านจะโจมตีผลประโยชน์ ฐานทัพ และกองกำลังของสหรัฐฯ และอิสราเอลทุกที่ทุกเวลาที่จำเป็น หากทั้งสองชาติเริ่มทำสงครามกับอิหร่านก่อน
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนียังแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยนักลงทุนยังประเมินมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลงแรงกดดันหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบดัชนีในวันนี้ 1,190-1,205 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA : CPALL SCB TISCO EGCO BDMS TU ADVANC
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากกองทุน TESGX: BBL BEM CPALL PTT TISCO
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : HMPRO GLOBAL DOHOME SCGD TEAMG
• หุ้นที่ธปท.กำลังพิจารณาอนุมัติให้ประกอบธุรกิจ Virtual Bank : KTB ADVANC GULF OR SCB
• หุ้นที่คาดว่าผลประกอบการ 1Q68 จะออกมาดี : STECON OSP WHA TRUE ADVANC
หุ้นรายงานพิเศษ
STECON ("ซื้อ" Bloomberg Consensus 8.40)
"คาดกำไร 1Q68 ดีขึ้นทั้ง QoQ และ YoY"
•คาดผลประกอบการ 1Q68 จะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY หลังไม่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและอยู่ระหว่างเคลมประกันจากโครงการบึงหนองบอนซึ่งคาดว่าจะได้รับภายใน 1H68 นอกจากนี้การที่ TOP ยกเลิกสัญญากับ UJV ในโครงการ CFP ส่งผลให้ STECON จะไม่มีภาระค่าใช้จ่ายรายเดือนจำนวน 10 ล้านบาทเพื่อไม่ให้เกิดการผิดสัญญาเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติม
•ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 68 เติบโต 10% สู่ 3.2 หมื่นลบ.โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้จาก Backlog ที่มีราว 9.0 หมื่นลบ. และ ร่วมประมูลงานใหม่ที่คาดว่าจะเปิดประมูลในปีนี้ราว 4.5 แสนลบ. โดยบริษัทคาดว่าจะได้งานใหม่ราว 5 หมื่นลบ. และตั้งเป้า อัตรากำไรขั้นต้นที่ 7% ซึ่งเป็นระดับปกติ เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบึงหนองบอน อีกทั้งงานใหม่มีค่าเฉลี่ย อัตรากำไรขั้นต้นที่ 7% และภายในครึ่งปีแรกคาดว่าจะสามารถปิดดีล data center และลงทุนในสตาร์ทอัพได้อย่างละ 1 โครงการ
•ความเห็น เราคาดว่าปี 68 จะเป็นปีแห่งการ Turnaround ของ STECON หลังไม่มีการค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบึงหนองบอน และโครงการก่อสร้าง CFP ของ TOP อีกทั้งเตรียมเปลี่ยนเงินลงทุนในรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองจากบริษัทร่วมเป็นเงินลงทุน ทำให้รับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนลดลงจากปี 67 เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
หุ้นมีข่าว
(+) WPH (Bloomberg consensus - บาท) แย้มผลงานไตรมาส 1/2568 เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้จากจำนวนลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มขึ้น มั่นใจปี 2568 รายได้เพิ่มขึ้น 20% พร้อมเร่งขยายพอร์ตลูกค้าต่างชาติเพิ่มเป็น 35-40% ซึ่งมาร์จิ้นดีกว่าลูกค้าคนไทยประมาณ 2 เท่า ขณะที่เตรียมเปิดโรงพยาบาลใหม่อีก 2 แห่งในปี 2569 เพื่อรองรับฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงวางกลยุทธ์รับมือความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว (ที่มา ทันหุ้น)
(+) HMPRO (Bloomberg consensus 10.00 บาท) ผลงานโค้งแรกมีกำไรสุทธิ 1,707.38 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการท่ามกลางกำลังซื้อที่ยังชะลอตัวจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ผู้บริหารประกาศเดินหน้าเสริมแกร่งทางธุรกิจ ลุยพัฒนาแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสออนไลน์ควบคู่กับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง (ที่มา ทันหุ้น)
(+) JMT (Bloomberg consensus 15.05 บาท) ลดต้นทุนการเงินต่อเนื่อง เล็งขายหุ้นกู้เพิ่มปลายไตรมาส 3/2568 มองเทรนด์ดอกเบี้ยขาลงส่งผลดีชัด คงแผนปีนี้ลงทุน 2 พันล้านบาท ซื้อหนี้เสีย พร้อมมั่นใจปีนี้ไม่มีตั้งสำรอง ECL กดดันงบ ส่วนแอปพลิเคชันประกันภัยที่เพิ่งเริ่มคาดเริ่มเก็บเกี่ยวผลตอบแทนภายในปีหน้า ฟากนักวิเคราะห์มองไตรมาส 1/2568 กำไรปกติโต แนวโน้มจัดเก็บเงินสดปีนี้ฟื้น (ที่มา ทันหุ้น)
(+) RJH (Bloomberg consensus 19.00 บาท) รับทรัพย์อัตราค่ารักษาใหม่ หนุนครึ่งแรกปี 2568 ฟอร์มแจ่ม แถมยืนเป้ารายได้ปีนี้ พุ่ง 5% อานิสงส์พอร์ตผู้ใช้บริการโต-รพ.ใหม่หนุน เคลียร์ชัด SSO ไฟเขียวปรับเงื่อนไขการผ่าตัดโรคเร่งด่วนให้ลดลงเหลือเพียง 2 โรคไม่กระทบ (ที่มา ทันหุ้น)







