วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ติดตามประมาณการทางเศรษฐกิจของ สศค. (28 เม.ย.) และธปท. (30 เม.ย.)

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เข้าสู่ช่วงประกาศผลประกอบการเต็มตัว นักลงทุนหันเหความสนใจจากประเด็นภาษีการค้ามายังการประกาศผลประกอบการและคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจในช่วงถัดไป
ซึ่งสัปดาห์นี้มีบริษัทขนาดใหญ่ที่จะประกาศผลประกอบการที่ต้องจับตา ได้แก่ 30 เม.ย. MSFT, META , QCOM / 1 พ.ค. AAPL, AMZN, LLY, MA // ปัจจัยที่ต้องจับตาและอาจส่งผลกระทบกับผลประกอบการหลายบริษัทในธุรกิจค้าปลีกและโฆษณา ได้แก่ การยกเลิกการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าที่มีขนาดหรือมูลค่าไม่มาก ซึ่งกำหนดอยู่ที่ 800 ดอลลาร์ฯ/คน/วัน (de minimis) ต่อสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากจีนและฮ่องกง อาจส่งผลกระทบต่อผู้ทำธุรกิจค้าปลีกในแพลคฟอร์มต่างๆ และรวมไปถึงกระทบต่อรายได้โฆษณาที่ผ่านทางบริษัทสื่อสังคมหรือเครื่องมือค้นหาอย่าง GOOG และ META ซึ่งการเริ่มจัดเก็บภาษีดังกล่าวสำหรับสินค้าจากจีนและฮ่องกง จะมีผลเริ่มต้น 2 พ.ค.นี้
ในประเทศติดตามการปรับลดคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของ สศค. และธปท.: ผลกระทบจากแผ่นดินไหว และการเก็บภาษีการค้าตอบโต้ของสหรัฐฯ กับประเทศต่างๆ รวมไปถึงนโยบายปิดล้อมทางการค้าต่อจีน มีแนวโน้มกระทบต่อปริมาณการค้าโลก และรวมไปถึงเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและจำนวนนักท่องเที่ยว เป็นความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2568 ในสัปดาห์นี้หน่วยงานรัฐที่สำคัญ 2 แห่ง มีแนวโน้มเปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจฉบับใหม่ ได้แก่ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) วันที่ 28 เม.ย. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วันที่ 30 เม.ย. ซึ่งประมาณการ GDP ปี 2568 เดิมของทั้งสองหน่วยงานอยู่ที่ 3.0% และ 2.9% ตามลำดับ โดยคาดรประมาณการใหม่ จะอยู่ในช่วง 1.5%+/- หากประมาณการใหม่ต่ำกว่าระดับดังกล่าวมาก อาจสร้างแรงกระเพื่อมหรือความกังวลให้กับตลาดและนักลงทุนได้
ภาพรวมกลยุทธ์ ยังลุ้นฟื้นตัวผ่าน 1,160 เพื่อยกกรอบการเล่นสู่แนวต้าน 1,200+/- จุด แต่หากหลุด 1,140 ควรชะลอการเก็งกำไรระยะสั้น หุ้นปลอดภัย โรงไฟฟ้า, การแพทย์, สื่อสาร (EGCO, RATCH, BDMS, BCH, BH, ADVANC, TRUE) และกลุ่มอาหาร ที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี โดยเฉพาะผู้ผลิตเนื้อสัตว์ (TFG, GFPT, BTG, CPF, NSL) ขณะทางพื้นฐานยังระวังการลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะ กลุ่มอาหารที่มีรายได้จากสหรัฐฯ สูง และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม
แนวรับ: 1,145 แนวต้าน : 1,169 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• OSP (18.50): แนวโน้มผลประกอบการผ่านช่วงแย่สุดไปแล้วและกำลังฟื้นตัว สะท้อนผ่าน GPM ที่ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ตัดขาดทุน 14.20 บาท
• NSL (36) : แนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่งต่อเนื่องในไตรมาส 1 ทั้งจากการขยายสาขาของ 7-11 และเปิดตัวสินค้าใหม่ ตัดขาดทุน 30 บาท
• RATCH (29) : กลุ่มโรงไฟฟ้ามีความเสี่ยงปรับลดประมาณการกำไรต่ำ ขณะที่ซื้อขายด้วย PER 7 เท่า และปันผล 6.5% ตัดขาดทุน 24 บาท
• SAMART (8) : ผลการดำเนินงานปกติแข็งแกร่ง และมีทิศทางฟื้นตัวทั้งปี จากการประมูลโครงการต่างๆ ตัดขาดทุน 6.70 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- สหรัฐฯ-อินเดียเร่งเจรจาภาษี ครอบคลุมสินค้าเกษตร-แร่ธาตุสำคัญ
- ทรัมป์-เซเลนสกีพบปะพูดคุยที่กรุงโรม หนุนความหวังยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน
- ทรัมป์โวใกล้บรรลุข้อตกลงภาษีกับญี่ปุ่น เตรียมเดินหน้าเจรจารอบสอง
- แบงก์ชาติจีนเร่งอัดฉีดสภาพคล่อง 8.23 หมื่นล้านดอลล์ ครั้งใหญ่สุดในรอบ 4 เดือน รับมือผลกระทบภาษีสหรัฐ
- ไทยเตรียมเปิดระบบ TDAC ให้ต่างชาติลงทะเบียนเข้า-ออกประเทศล่วงหน้า 1 พ.ค.
- DELTA ปิดบ.ย่อยในฮังการี เศรษฐกิจผันผวนกระทบแผนลงทุน
- บทวิเคราะห์วันนี้ : DELTA แนะนำ ขาย เป้า 50 บาท/ PLANB แนะนำ ซื้อ เป้า 7.70 บาท/ SPALI แนะนำ ถือ เป้า 18.20 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
29 เม.ย. – US JOLTs Job Openings (Mar)
30 เม.ย. – CN NBS Manufacturing PM (Apr)/ US PCE (Mar)