วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ การลงทุนได้แรงหนุนจากความกดดันการค้าที่อาจลดลง

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ การลงทุนได้แรงหนุนจากความกดดันการค้าที่อาจลดลง

ภาษีการค้าจีนอาจลดลงอย่างมีนัยสำคัญหากบรรลุข้อตกลงทางการค้า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผ่อนปรนท่าทีแข็งกร้าวต่อจีน

และแสดงความเห็นถึงความเป็นไปได้ที่ภาษีการค้าที่เรียกเก็บจากจีนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (แต่ไม่เป็นศูนย์) ท่าทีดังกล่าวเป็นสัญญาณถึงการผ่อนปรนที่มากขึ้น และต่อเนื่องหลังจากรมว.คลัง สก็อต เบสเซนต์ ได้แสดงความเห็นในการประชุมต่อผู้ลงทุนก่อนหน้า ทั้งนี้รายงานจาก Wall Street Journal ระบุว่าทำเนียบขาวกำลังพิจารณาแผนลดภาษี โดยสินค้าที่ไม่กระทบต่อความมั่นคง จะถูกจัดเก็บที่อัตรา 35%  ขณะที่สินค้าที่เกี่ยวกับความมั่นคงจะถูกเรียกเก็บขั้นต่ำ 100% โดยแผนนี้จะค่อยๆลดลงภายใน 5 ปี โดยเฉลี่ยแล้วภาษีรวมจะอยู่ในช่วง 50-65% // ท่าทีดังกล่าวเป็นปัจจัยหนุนบรรยากาศลงทุนระยะสั้น โดยต้องติดตามแผนงานที่ชัดเจน รวมถึงท่าทีจากทางการจีน ซึ่งการที่จีนส่งผู้ว่าธนาคารกลางและรมว.คลัง ไปร่วมประชุม IMF ระหว่าง 21-26 เม.ย. เป็นสัญญาณว่าจีนเปิดโอกาสในการเจรจากับสหรัฐฯ 

ภาพรวมภายนอกเป็นบวก ขณะที่แนวโน้มการลงทุนหุ้นไทยยังอ่อนแอ แต่ยังเห็นบรรยากาศเก็งกำไรที่ดีในหุ้นปลอดภัย และหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเชิงบวก: ภาพรวมเป็นการแกว่งตัวตามพัฒนาการด้านภาษีการค้า ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า ขณะที่มีรายงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ มีกำหนดการประชุมถึง 14 รอบในสัปดาห์นี้กับประเทศต่างๆ แม้จะลดแรงกดดันต่อจีน แต่การต่อรองกับประเทศขนาดกลาง-เล็กที่ศักยภาพด้อยกว่า อาจไม่ได้ลดระดับความรุนแรงลง ซึ่งยังคงเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ และกลุ่มที่ผลประกอบการอิงเศรษฐกิจ (เศรษฐกิจไทย - ธนาคาร, บันเทิง, ค้าปลีก / เศรษฐกิจโลก - พลังงาน, ปิโตรเคมี, บรรจุภัณฑ์ /การย้ายฐานการผลิต - นิคมอุตสาหกรรม) อย่างไรก็ตาม ยังเห็นแรงเก็งกำไรเชิงบวกในกลุ่มที่ผลประกอบการในช่วง 1-2 ไตรมาสจะออกมาดี ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มอาหาร
 

ภาพรวมกลยุทธ์ ยังลุ้นฟื้นตัวผ่าน 1,155 เพื่อยกกรอบการเล่นสู่แนวต้าน 1,200 จุด คาดหุ้นหลายกลุ่มฟื้นตัวช่วยประคองตลาดแทนธนาคารที่น่าจะเริ่มเข้าสู่การพัก กลุ่มที่น่าสนใจได้แก่ หุ้นปลอดภัย โรงไฟฟ้า, การแพทย์, สื่อสาร (EGCO, RATCH, BDMS, BCH, BH, ADVANC, TRUE) และกลุ่มอาหาร ที่แนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี โดยเฉพาะผู้ผลิตเนื้อสัตว์ (TFG, GFPT, BTG, CPF, NSL) ขณะทางพื้นฐานยังระวังการลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะ กลุ่มอาหารที่มีรายได้จากสหรัฐฯ สูง และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม

แนวรับ: 1,145 แนวต้าน : 1,165 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    NSL (34): แนวโน้มผลประกอบการได้แรงหนุนจาก high season และต้นทุนการผลิตที่ทรงตัว-ลงเล็กน้อยบวกต่ออัตรากำไร ตัดขาดทุน 30 บาท
•    TFG (5.80) : แนวโน้มผลประกอบการกลุ่มเนื้อสัตว์ได้ผลดีทั้งจากราคาไก่และหมูในประเทศที่ปรับดีขึ้น และการขยายสาขาร้านค้าปลีก ตัดขาดทุน 4.80 บาท
•    RATCH (29) : กลุ่มโรงไฟฟ้ามีความเสี่ยงปรับลดประมาณการกำไรต่ำ ขณะที่ซื้อขายด้วย PER 7 เท่า และปันผล 6.5% ตัดขาดทุน 24 บาท
•    MTC (50) : กนง.อาจส่งสัญญาณผ่อนคลาย หรือปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม 30 เม.ย. ตัดขาดทุน 40.50 บาท

ประเด็นที่น่าสนใจ

-    ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหรัฐต่ำสุดรอบ 16 เดือนในเม.ย.
-    EIA เผยสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น สวนทางคาดการณ์
-    จีนส่งสัญญาณ “พร้อมเปิดเจรจาการค้า” กับสหรัฐ หลังทรัมป์เปรยลดภาษี
-    "เบสเซนต์" เผยสหรัฐ-จีนมีโอกาสบรรลุข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่
-    ตลท.ประกาศใช้มาตรการ Auto Pause รายหุ้น เริ่ม 6 พ.ค. นี้


 

-    คลัง เตรียม 5 แสนล้านบ. อัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รับมือภาษีสหรัฐฯ
-    สหภาพยุโรป สั่งปรับ “Apple-Meta” 798 ล้านดอลล์ ฐานละเมิดกฎหมาย DMA
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : MAJOR ปรับลดคำแนะนำเป็น ถือ เป้า 10 บาท/ TOP แนะนำ ถือ เป้า 27 บาท/ WHA แนะนำ ถือ เป้า 480 บาท

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

24 เม.ย. – US Durable Goods Orders, Existing Home Sales/ ตัวเลขการส่งออกไทย (Mar)
25 เม.ย. – TH New Car Sales (Mar)

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ การลงทุนได้แรงหนุนจากความกดดันการค้าที่อาจลดลง