วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ยังสามารถเลือกเก็งกำไรรายตัว

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ยังสามารถเลือกเก็งกำไรรายตัว

บรรยากาศลงทุนโดยรวมเริ่มนิ่งระหว่างที่ตลาดรอปัจจัยผลักดันใหม่ ภาพรวมการลงทุนยุโรปและสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมาดัชนีส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ

โดยตลาดติดตามประเด็นข่าวสารต่างๆที่เข้ามา อาทิ ข่าวโอกาสปลดผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้น), ความคืบหน้าเกี่ยวกับการเจรจาการค้าของบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น, การแสดงความเห็นของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ลังเลที่จะเพิ่มอัตราภาษีการค้าต่อจีนเพิ่มขึ้น เพราะอาจกระทบต่อการค้าระหว่างสองประเทศ และการอ้างว่าได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่จีนในการเจรจา, ค่าระวางเรือสูงขึ้นโดยเฉพาะเส้นทางไปยังสหรัฐฯ เนื่องจากความต้องการขนส่งที่ลดลง ทำให้ต้องมีการขึ้นราคาค่าระวาง, การเข้าสู่เทศกาลรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ // ภาพรวมตลาดไร้ปัจจัยบวกหรือลบชัดเจน และแกว่งตัวรอปัจจัยบวกใหม่ และตามปัจจัยผลักดันรายบริษัท

ผลประกอบการ BBL กำไรดีกว่าคาด แต่การดำเนินงานโดยรวมดูอ่อนแอลงในหลายมิติ เป็นลบต่อภาพรวมกลุ่มธนาคาร: BBL รายงานกำไรไตรมาส 1/68 ที่ 12.6 พันล้านบาท +21% QoQ, +20% YoY ดีกว่าที่เราและตลาดคาด 11% อย่างไรก็ตาม กำไรที่ดีกว่าคาดโดยหลักมาจากกำไรจากการลงทุน 2.9 พันล้านบาท (1Q67 ที่ 182 ลบ. / 4Q67 ที่ 133 ลบ.) นอกจากนี้หากดูด้านการดำเนินงานโดยรวมอ่อนแอลง ซึ่งแสดงถึงความเสี่ยงต่อผลประกอบการ ได้แก่ 1) การตั้งสำรอง 9.1 พันล้านบาท +19% QoQ, +6% YoY 2) NPL เพิ่มเป็น 3% จาก 2.7% 3) ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับลดลง 4) Credit cost เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิอาจปรับลดลงเพิ่มเติมหากมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 1-2 ครั้งในปีนี้ เรามองงบของ BBL ส่งสัญญาณลบต่อกลุ่มธนาคารโดยรวม ซึ่งเรามองมีความเสี่ยงทั้งจากการปรับลด GDP อาจกระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อ และส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่อาจหดตัวลง ดังนั้นยังมองระวังต่อแรงขายทำกำไรกลุ่มธนาคาร ซึ่งวันนี้อยู่ในจุดที่ผลประกอบการดีที่สุดของปี

 


 

ภาพรวมกลยุทธ์ มีโอกาสเห็นแรงเก็งกำไรเชิงบวกในหุ้นรายตัว จากแรงซื้อกระจายความเสี่ยงและเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น/ การเก็ง กนง. อาจลดดอกเบี้ยในการประชุม 30 เม.ย. / เก็งงบกลุ่มโรงไฟฟ้าที่จะดีมากในช่วงไตรมาส 2/68  อย่างไรก็ตามอาจผันผวนจากแรงขายทำกำไรกลุ่มธนาคารจากความกังวลปรับลด GDP และงบ BBL ที่ตัวเลขด้านการดำเนินงานอ่อนแอลง ขณะทางพื้นฐานยังระวังการลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยเฉพาะ กลุ่มอาหารที่มีรายได้จากสหรัฐฯ สูง และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม

แนวรับ: 1,122 แนวต้าน : 1,155 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    CK (18) : ราคาหุ้น Laggard STECON ขณะที่ธุรกิจอิงการใช้งบและปัจจัยในประเทศที่ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกและ tariffs ตัดขาดทุน 14.80 บาท
•    RATCH (29) : กลุ่มโรงไฟฟ้ามีความเสี่ยงปรับลดประมาณการกำไรต่ำ ขณะที่ซื้อขายด้วย PER 7 เท่า และปันผล 6.5% ตัดขาดทุน 24 บาท
•    MTC (50) : กนง.อาจส่งสัญญาณผ่อนคลาย หรือปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม 30 เม.ย. ตัดขาดทุน 40.50 บาท
•    HANA (20): ระยะสั้นบวกจาอการผ่อนปรนการเก็บภาษีสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ระยะกลางมีโอกาสได้ผลบวกจากการสกัดกั้นสินค้าจีนของสหรัฐฯ ตัดขาดทุน 14 บาท
 

ประเด็นที่น่าสนใจ 

-    ECB มีมติหั่นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด
-    จีนเผยอัตราว่างงานเยาวชนลดลงแตะ 16.5% ในเดือนมี.ค.
-    ฟิทช์ ปรับลดคาดการณ์แนวโน้ม “เศรษฐกิจโลก” คาดปี 68 โตต่ำกว่า 2%
-    “ซีอีโอ Nvidia” เดินทางเยือนจีน หลังรัฐบาลสั่งห้ามขายชิป AI ให้จีน
-    ธปท. คาดนโยบาย Tariff ของทรัมป์ ฉุดจีดีพีปี 68 ต่ำกว่า 2.5%
-    ผู้ว่าฯ BOJ ส่งสัญญาณอาจต้องปรับนโยบาย หากภาษีทรัมป์กระทบเศรษฐกิจ

 

 

 

-    สหรัฐ จ่อลงโทษ “DeepSeek” ห้ามเข้าถึงเทคโนโลยีสหรัฐ พร้อมเล็งห้ามชาวอเมริกันใช้บริการ
-    STGT รุกงานเอกซ์โประดับโลก ลุยตลาดเกาหลี อินเดีย เยอรมนี

ปัจจัยที่ต้องติดตาม 

18 เม.ย.  – CN Loan Prime Rate
19 เม.ย.  –JP Inflation Rate (Mar)
 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ยังสามารถเลือกเก็งกำไรรายตัว