วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ออกข้าง

วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway ออกข้าง โดยช่วงเช้าดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นหลัก มีแรงกดดันจากประธานเฟดชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนแอลง
จากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร มีแรงขายนำโดยหุ้นกลุ่มไอซีที และพลังงาน ขณะที่ช่วงบ่ายดัชนีกลับมาเคลื่อนไหวในแดนบวก โดยมีแรงซื้อหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคาร ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,141.28 จุด +2.38 จุด +0.21% มูลค่าการซื้อขาย 29,646 ลบ. Program Trading -1,105 ลบ. ต่างชาติ -223 ลบ. TFEX -16,469 สัญญา ตราสารหนี้ +18,579 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดเพิ่มขึ้น 2.21 ดอลลาร์ หรือ +3.54% ปิดที่ 64.68 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความหวังที่ว่า สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU) จะบรรลุข้อตกลงการค้า และจากการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว หลังจากสหรัฐฯ ออกมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่การส่งออกน้ำมันของอิหร่าน
+ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 9,000 ราย สู่ระดับ 215,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 225,000 ราย
+ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ลังเลที่จะเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมากขึ้น เพราะอาจทำให้การค้าระหว่างสองประเทศชะงักลง และยืนยันว่าทางการจีนได้ติดต่อมายังสหรัฐฯ หลายครั้งเพื่อพยายามเจรจา ทำข้อตกลง
+ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมวานนี้ตามการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการปรับลด อัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 7 นับตั้งแต่ ECB เริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในเดือนมิ.ย.2567
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 527.16 จุด หรือ -1.33% โดยถูกกดดันจาก การร่วงลงของหุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ (UnitedHealth) ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยกำไรที่ต่ำกว่าคาด ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น
- สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 11.4% สู่ระดับ 1.324 ล้านยูนิตในเดือนมี.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.420 ล้านยูนิต
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟีย เปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ดิ่งลงสู่ระดับ -26.4 ในเดือนเม.ย. จากระดับ +12.5 ในเดือนมี.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ที่ระดับ +3.5
- ธปท.ชี้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากการใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯส่งผล ตลาดเงินผันผวน ขณะที่การค้าการลงทุนการส่งออกลด มอง GDP ปีนี้โตต่ำกว่า 2.5% แต่ส่งออกยังไม่ติดลบ จ่อนำการชะลอตัวเศรษฐกิจ เข้าหารือใน กนง. 30 เม.ย.นี้
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้ยังแกว่งตัวผันผวนในลักษณะ Sideway ออกข้าง โดยยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด นักลงทุนจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้น ช่วยพยุงหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบดัชนีในวันนี้ 1,135-1,150 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA : CPALL SCB TISCO EGCO BDMS TU ADVANC
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ThaiESG Extra : BBL BEM CPALL PTT TISCO
• หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : ANAN ORI NOBLE ITD TIPH TVH
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : HMPRO GLOBAL DOHOME SCGD TEAMG
• หุ้นที่ธปท.กำลังพิจารณาอนุมัติให้ประกอบธุรกิจ Virtual Bank : KTB ADVANC GULF OR SCB
หุ้นรายงานพิเศษ
KLINIQ "ซื้อ" (ราคาเหมาะสม 36.00 บาท)
"คาดการณ์กำไรงวด 1Q68 เติบโต QoQ, YoY"
•คาดการณ์รายได้งวด 1Q68 เติบโต YoY แต่ปรับตัวลงเล็กน้อย QoQ โดยรายได้เติบโต YoY จากการเติบโตของสาขาเดิม และยอดขายสาขาใหม่ ในงวด 1Q68 บริษัทเปิดสาขาใหม่ 1 สาขา แบรนด์ L’Clinic ที่ซีคอน ศรีนครินทร์ ขณะที่คาดรายได้ ลดลงเล็กน้อย QoQ เนื่องจากฐานรายได้สูงในงวด 4Q67 จากพฤติกรรมลูกค้าที่ใช้บริการมากในช่วงไตรมาส 4 คาดสมมติฐาน %GPM ใกล้เคียงกับในงวด 4Q67 ที่ระดับ 54.0% เนื่องจากมีการเปิดสาขาใหม่เพียง 1 สาขาทำให้ไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่ออัตรากำไรขั้นต้นมากนัก
•คงประมาณการณ์กำไรปี 2568 ที่ 418 ลบ. +30%YoY , มาจากคาดรายได้ที่ 3,490 ลบ. +17%YoY จากการเติบโตของ ยอดขายสาขาเดิม และรายได้ของสาขาใหม่ ปี 68 ตั้งเป้าเปิด 10 สาขา จากจำนวน 72 สาขาเมื่อสิ้นปี 67 มี เป็น 82 สาขาในปี 68 ขณะที่สมมติฐาน %GPM ที่ระดับ 53.4% ปรับตัวขึ้นจากระดับ 51.7% ในปี 67 เนื่องจากปี 67 บริษัทมีการเปิดสาขาใหม่จำนวน 20 สาขา ปิด 3 สาขา การเปิดสาขาจำนวนมากระดับ 20 สาขา ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการเตรียมเปิดสาขาเข้ามาก่อนในช่วงแรก ทั้งค่าเช่าที่ ค่าเครื่องมืออุปกรณ์ รวมถึงค่าบุคคลากร เป็นต้น
•เราประเมินราคาเหมาะสมโดยใช้ Prospective PER ที่ 19x เป็นระดับ -1SD. ของค่าเฉลี่ยในอดีต ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 68 เท่ากับ 1.90 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมปี 68 เท่ากับ 36.00 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซต์จากราคาปัจจุบัน ราว 15% ขณะที่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield) ในอนาคตราว 5.5% ต่อปี เราจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
หุ้นมีข่าว
(+) TKN (Bloomberg consensus 9.05 บาท) แย้มมีดีลโปรเจ็กต์ใหม่ร่วมกับ CHAO และได้เข้าไปถือหุ้น ในสัดส่วน 4.38% ใหญ่เป็นอันดับที่ 3 พร้อมมีแผนเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติมโดยเป็นการลงทุนระยะยาว เร่งเข็นดีลโปรเจ็กต์ใหม่ให้เสร็จภายในปี 2568 เพื่อสร้าง Synergy ขยายสายผลิตภัณฑ์ และกระจายความเสี่ยงให้ได้ ซึ่งยังมีดีล M&A และ Joint Venture อีกหลายราย มั่นใจยอดขายรวมปี 2568 เติบโตตามเป้าหมาย 10% (ที่มา ทันหุ้น)
(+) CHIC (Bloomberg consensus - บาท) ส่งสัญญาณธุรกิจฟื้นตัวช่วงครึ่งปีหลัง เดินเกมพัฒนาสินค้ากลุ่มพรีเมียม อัพฐานลูกค้า พร้อมออกสินค้าใหม่ทุกไตรมาส รุกขยายตลาดภูเก็ต เจาะลูกค้ากำลังซื้อสูงกลุ่มต่างชาติ ตั้งเป้ารายได้เติบโตปีนี้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 5% (ที่มา ทันหุ้น)
(+) SYNEX (Bloomberg consensus 15.50 บาท) จ่อรับอานิสงส์เงินดิจิทัล เฟส 3 ช่วงไม่เกินมิถุนายน 2568 ชี้หากลุล่วงหนุนดีมานด์สินค้าไอทีพุ่ง ฟากผู้บริหาร "สุธิดา มงคลสุธี" ปักเป้าปีนี้รายได้ทะลุ 4 หมื่นล้านบาท รับพอร์ตธุรกิจขยายตัว แถมเดินหน้าควักงบ 100 ล้านบาท แถมล่าสุดผนึก AWS พัฒนาโซลูชัน รองรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล หวังต่อยอดธุรกิจครบวงจร (ที่มา ทันหุ้น)
(+) ORN (Bloomberg consensus - บาท) เดินหน้าก่อสร้าง โครงการ อะไรซ์ ไวบ์ ภูเก็ต มูลค่ารวม 1,115 ล้านบาท เผยกระแสตอบรับดีเกินคาด ยอดขายพรีเซลกว่า 611 ล้านบาท ภายใน 1 เดือน ตั้งเป้าก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2569 (ที่มา ทันหุ้น)