วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษี

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษี

วันพุธที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway ออกข้าง โดยนักลงทุนชะลอการซื้อขายก่อนสหรัฐประกาศ ใช้มาตรการภาษีตอบโต้ มีแรงซื้อนำโดยหุ้นกลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล และอิเล็กทรอนิกส์

ขณะที่มีแรงขาย นำโดยหุ้นกลุ่มไอซีที และพลังงาน ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,172.69 จุด +4.67 จุด +0.40% มูลค่าการซื้อขาย 24,952.72 ลบ. Program Trading +1,018.41 ลบ. ต่างชาติ +1,564.79 ลบ. TFEX +6,570 สัญญา ตราสารหนี้ +3,134.75 ลบ. 

ปัจจัยบวก    

+ ดัชนีดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 235.36 จุด หรือ +0.56% ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff)
+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 51 เซนต์ หรือ 0.72% ปิดที่ 71.71 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนจับตาการประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากร ตอบโต้ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ
+ ADP เปิดเผยการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 155,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 120,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 84,000 ตำแหน่งใน เดือนก.พ.
+ คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบ รายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5% หลังจากพุ่งขึ้น 1.8% ในเดือนม.ค.
+ กระทรวงการคลังเตรียมออกมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและ ค่าจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ให้เร็วที่สุด ส่วนธปท. เตรียมผ่อนปรนมาตรการ LTV ที่จะเริ่มวันที่ 1 พ.ค.นี้ จะช่วยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ปัจจัยลบ    

- สภามติเอกฉันท์ 401 เสียงไม่มีค้าน ผ่านร่างกม. กองทุนการออมแห่งชาติ เปิดช่องทาง 'หวยเกษียณ' กระตุ้นการเก็บออมเงินไว้ใช้ในอนาคต หากไม่ถูกหวยจะถูกสะสมเป็นเงินออมและเมื่ออายุครบ 60 ปี จะได้รับเงินต้นคืน

 

- สหรัฐฯ ระบุว่าไทยมีการเก็บภาษีและตั้งกำแพงทางการค้า (รวมทั้งมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี) กับสินค้าจากสหรัฐฯ สูงถึง 72% ซึ่งเป็นเหตุผลที่ต้องเก็บภาษีตอบโต้(Reciprocal Tariff) ในอัตรา 36% หรือสูงกว่าภาษีพื้นฐานเดิม 3 เท่าส่งผลกระทบต่อ GDP ของประเทศไทย
- ส.อ.ท. เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญหลายปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้ GDP ปี 2568 ต่ำกว่าที่เคยคาดจากกรอบประมาณการเดิมอยู่ในช่วง 2.4-2.9% ซึ่งได้คำนึงถึงผลกระทบบางส่วนจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไว้แล้ว แต่ยังมีความไม่แน่นอนถึงขนาดและขอบเขตของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่จะประกาศซึ่งอาจจะกระทบต่อ GDP เพิ่มขึ้นอีกราว 0.2-0.6% ทั้งนี้ กกร. ยังคงประมาณการส่งออกอยู่ที่ 1.5-2.5% เงินเฟ้อ 0.8-1.2%
- SCB EIC ประเมินความเสียหายจากเหตุแผ่นดินไหวว่า มีผลกระทบเบื้องต้นต่อเศรษฐกิจไทยราว 30,000 ล้านบาท โดยกระทบหลักต่อ ภาคท่องเที่ยว, อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจก่อสร้าง ส่วนท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบเร็วที่สุดจากความกังวลเรื่องความปลอดภัย คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะหายไปราว 400,000 คน ในช่วงเดือน เม.ย. ก่อนจะฟื้นกลับมาภายใน 3 เดือน

แนวโน้มตลาดวันนี้    

คาดดัชนีในวันนี้ปรับตัวลงตามทิศทางตลาดโลก โดยได้มีแรงกดดันจากสหรัฐฯจะเก็บภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ซึ่งไทยต้องถูกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตรา 36% ซึ่งมาตรการดังกล่าวส่งผลให้สงครามการค้าทวีความรุนแรงมากขึ้น กรอบดัชนีวันนี้ที่ 1,150-1,175 จุด

กลยุทธ์การลงทุน   

• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA : CPALL SCB TISCO EGCO BDMS TU ADVANC
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ThaiESG Extra : BBL BEM CPALL PTT TISCO
• กรณี ธปท.ผ่อนปรนมาตรการ LTV แนะนา top pick หุ้นที่อยู่อาศัย ได้แก่ AP LH SIRI SC SPALI QH
• ครม.เห็นชอบ. ร่าง พรบ. Entertainment Complex : VGI BTS PLANB
• หุ้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : ANAN ORI NOBLE ITD TIPH TVH 

 

 

 

• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์แผ่นดินไหว : HMPRO GLOBAL DOHOME SCGD TEAMG

หุ้นรายงานพิเศษ  

หุ้นกลุ่มธนาคาร Preview 1Q68E

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษี

•หุ้นกลุ่มธนาคารมียอดสินเชื่อสุทธิ ณ ปลายเดือนก.พ. 68 รวม 12.9 หมื่นล้านบาท ลดลง 0.94%YTD ธนาคารที่มีสินเชื่อสุทธิเพิ่มขึ้น ได้แก่ CREDIT +0.74%YTD LHFG +0.24%YTD TISCO +0.18%YTD และ SCB +0.7%YTD

•Bloomberg Consensus คาดการณ์หุ้นธนาคารที่มีกำไรเพิ่มขึ้นทั้ง YoY, QoQ ได้แก่ BBL +6%YoY +8%QoQ และ SCB +5%YoY +1%QoQ ธนาคารที่คาดจะมีกำไรลดลงทั้ง YoY, QoQ ได้แก่ KKP -23%YoY -20%QoQ และ TISCO -9%YoY -7%QoQ  สำหรับ KBANK คาดกำไรฟื้นตัว 14%QoQ แต่ลดลง 11%YoY

ความเห็น ฝ่ายวิจัยคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มธนาคารเป็น “Neutral” เลือกหุ้น top pick ได้แก่ BBL แนะนำ “ถือ” TISCO สำหรับ รอรับเงินปันผล (yield เฉลี่ย 7% ต่อปี)

หุ้นมีข่าว

(+) OSP (ราคาเหมาะสม 17.20 บาท) เผยแผ่นดินไหวเมียนมา โรงงานไม่กระทบ คาดปี 2568 รายได้รวมโตราว 5% ตามแผนเดิม มั่นใจผลงาน แม้ 1 เมษายน 2568 กรมสรรพาสามิตจัดเก็บภาษีความหวานเฟสสุดท้าย เนื่องจากปรับสูตรผลิตภัณฑ์ไว้หมดแล้ว ส่วนประเด็น "ทรัมป์" ดีเดย์มาตรการภาษี 2 เมษายน 2568 ไม่กระทบเช่นกัน ชี้ฐานหลักส่งออกอยู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้(ที่มา ทันหุ้น)

(+) BAFS (Bloomberg Consensus 10.00 บาท) ประเมินปริมาณเติมน้ำมันอากาศยานงวด ไตรมาส 1/2568 เฉลี่ย 15.8 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มขึ้น 14.5% YoY ด้านปริมาณเติมน้ำมันทางท่อคาด ทรงตัวสูงกว่า 300 ล้านลิตรต่อวัน เบื้องต้นประมาณการเติมน้ำมันอากาศยานงวดไตรมาส 2/2568 ในกรอบ 14.8 - 15 ล้านลิตรต่อวัน ปรับตัวลงตามฤดูกาล ลั่นการเชื่อมท่อขนส่งน้ำมันยังคงดำเนินตามกรอบเวลาไม่ได้รับผลกระทบ ทางด้าน SAF มีสายการบินสนใจเจรจาซื้อ-ขายแล้วราว 60% ของกำลังการผลิต(ที่มา ทันหุ้

(+) TEAMG (Bloomberg consensus - บาท) เผยบริษัทย่อย คว้าบิ๊กโปรเจ็กต์ ทอท. มูลค่า 200 ล้านบาท งานจ้างสำรวจและออกแบบโครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 รองรับผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวกว่า 18 ล้านคน (ที่มา ข่าวหุ้น)

(+) EKH (Bloomberg consensus 7.80 บาท) เตรียมเปิดศูนย์หัวใจในไตรมาส 2/2568 หนุนผลงานเร่งตัวครึ่งปีหลัง ขณะที่ไตรมาสแรกยอมรับแค่ทรงตัว แต่ย้ำเป้ารายได้ทั้งปีโต 7-8% ส่วนกรณีแผ่นดินไหวรับมือได้ ตรวจสอบไม่พบความเสียหาย และโครงการก่อสร้างเดินหน้าปกติ มองภาพยาวปี 2570 ก้าวกระโดดหลังปี 2569 บริการใหม่ทยอยเริ่มสร้างรายได้(ที่มา ข่าวหุ้น)