วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ติดตามประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่อาจกระทบกับไทย

สำนักผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ออกรายงานมาตรการกีดกันทางการค้าปี 2025 (2025 National Trade Estimate Report on Foreign Trade Barriers) ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับไทย ได้แก่
1) ไทยใช้อัตราภาษีเฉลี่ย 9.8% (ปี 2023) (สินค้าเกษตร 27.0% และสินค้าไม่ใช่เกษตร 7.1%) 2) ไทยห้ามนำเข้าเชื้อเพลิงชีวภาพตั้งแต่ปี 2005 เพื่อสนับสนุนเกษตรกรในประเทศ 3) ไทยมีกหารใช้กลไกออกใบอนุญาต หรือคิดค่าธรรมเนียมตรวจสอบสำหรับสินค้านำเข้า ซึ่งอาจเป็นการสร้างภาระแก่ผู้นำเข้า 4) ไทยมีการให้รางวัลนำจับในการตรวจสอบของศุลกากร ซึ่งสหรัฐ มองว่าสร้างแรงจูงใจที่อาจเป็นอุปสรรคต่อสินค้าเข้า 5) มาตรการด้านสุขอนามัย ส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ รวมถึงเนื้อสัตว์ เช่นเนื้อวัว เนื้อหมู รวมถึงการห้ามเนื้อไก่จากสหรัฐฯ ตั้งแต่ไข้หวัดนกปี 2014 6) ไทยยังอยู่ใน watch list ของสหรัฐฯ จากปัญหาสินค้าลอกเลียนแบบ และการละเมิดลิขสิทธิ์ออนไลน์ 7) อุปสรรคด้านบริการ เช่นการจำกัดสัดส่วนการลงทุนต่างชาติที่ 25% สำหรับโทรคมนาคม และธุรกิจการเงิน มีการจำกัดใบอนุญาต รวมถึงกำหนดให้ประมวลผลการชำระเงินด้วยบัตรเดบิตในประเทศ 8) อุปสรรคการลงทุนกฎหมายธุรกิจต่างชาติ (FBA) จำกัดการถือหุ้นต่างชาติในหลายสาขา (สูงสุด 50%) แม้สหรัฐฯ ได้สิทธิพิเศษภายใต้สนธิสัญญา Amity แต่ยังถูกกีดกันในโทรคมนาคม การขนส่ง และธนาคาร 9) ด้านแรงงาน ไทยยังไม่แก้ไขปัญหาสิทธิ์แรงงาน โดยเฉพาะเสรีภาพการรวมตัว ทำให้ สหรัฐฯ ระงับสิทธิพิเศษ GSP บางส่วนตั้งแต่ปี 2020
การปรับลดค่าไฟและตัวเลขนักท่องเที่ยวชะลอตัวสร้างแรงกดดันต่อตลาด: ครม. มีมติปรับลดค่าไฟงวดใหม่ เดือน พ.ค-ส.ค.ลงเหลือ 3.99 บาท/หน่วย จากเดิมที่ กกพ. คงไว้ที่ 4.15 บาท/หน่วย และมีแผนเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) เพื่อปรับลดการจ่ายสำหรับค่าความพร้อมจ่าย (Availability payment: AP) ทำให้กลุ่มโรงไฟฟ้ากลับมาเผชิญความเสี่ยงด้านนโยบายอีกครั้ง โดยการปรับลดค่าไฟ (Ft) กระทบ GPSC, BGRIM ขณะที่การปรับลดค่าความพร้อมจ่าย (AP) เป็นความเสี่ยงต่อ GULF, EGCO, RATCH แต่ประเมินการแก้สัญญาไม่ง่าย
// สำหรับตัวเลขนักท่องเที่ยว ไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 9.55 ล้านคน +1.91% YoY (ก.พ.และมี.ค.ลดลง YoY) นักท่องเที่ยวจีนลดลงเหลือ 7,000+ คน ทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเม.ย. ยังมีโอกาสลดลง YoY ก่อนที่จะกลับมาเพิ่ม YoY ได้ในช่วง พ.ค. ซึ่งในระยะสั้นอาจเป็นแรงกดดันต่อราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวได้
ภาพรวมกลยุทธ์ ลงทุนในหุ้นรายตัว มูลค่าไม่แพง และปันผลสูง เรายังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นรายตัวที่ Valuation ไม่แพง และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง และหลีกเลี่ยงกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจจีนในช่วงสั้นเนื่องจากกระแสเงินได้เปลี่ยนไปพักในกลุ่มอื่นๆ เราชอบกลุ่มค้าปลีก พลังงานต้นน้ำ และ สื่อสาร
แนวรับ: 1,150 แนวต้าน : 1,175 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• ADVANC (292) : EBITDA margin ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่ราคากลางประมูลคลื่นความถี่รอบใหม่มีโอกาสปรับลดลง ตัดขาดทุน 275 บาท
• RATCH (34.0): ซื้อขายเพียง 7x PER และให้ผลตอบแทนปันผล 6% ราคาหุ้นได้แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและผลตอบแทนพันธบัตร ตัดขาดทุน 25.00 บาท
• HMPRO (9.30) : ได้ปัจจัยหนุนเชิงบวกจากการซื้อหุ้นคืนที่ 6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ EPS เพิ่มขึ้น 6.5% ตัดขาดทุน 8.10 บาท
• BJC (26) : คาดผลการดำเนินงานผ่านจุดแย่สุดและเริ่มเข้าสู่การฟื้นตัว ธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มบวกจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง ตัดขาดทุน 21.50 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- VGI, ROJNA ติด SET100 แทน GULF – INTUCH หลังควบรวม
- RAM ทุ่ม 3.7 พันล้าน ซื้อหุ้นเพิ่มทุน THG ดันถือหุ้นแตะ 49.99%
- KCE ควัก 392 ล้านบาท ฮุบกิจการ KCED ลุยแผนธุรกิจแผ่นพิมพ์วงจร
- ร่างพ.ร.บ. เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ บรรจุเข้าสภาแล้ว จับตาประชุมนัดพิเศษ 3 เม.ย
- IP จับมือ Zhaoke ฮ่องกง จำหน่าย ยาตา ครบวงจรในไทย
- หุ้น LTMH เข้า IPO ในตลาด MAI วันนี้
- บทวิเคราะห์วันนี้ : ADVANC แนะนำ ซื้อ เป้า 330.0 บาท, SNNP แนะนำ ซื้อ เป้า 15.20 บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
2 เม.ย. – Liberation day
3 เม.ย. – US Exports, US ISM Service PMI, US S&P Global PMI, Jobless claims







