วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ประเมินผลกระทบจากแผ่นดินไหวไม่มาก

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ประเมินผลกระทบจากแผ่นดินไหวไม่มาก

ประเมินแผ่นดินไหวกระทบไม่มาก เราประเมินผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ดังนี้ กลุ่มที่เราคาดว่าจะได้รับผลกระทบมากที่สุด

1) กลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมหรือเล็กน้อย จากการปิดชั่วคราว หรือทราฟฟิคของการใช้บริการที่อาจลดลงในช่วงสั้น ซึ่งในกลุ่มนี้ได้แก่ ห้างสรรพสินค้า, โรงแรม, ระบบขนส่งมวลชน 2) กลุ่มที่ได้ผลกระทบโดยตรง ได้แก่ 2.1) อสังหาริมทรัพย์ ความต้องการซื้อระยะสั้นมีโอกาสชะลอตัว อาจเกิดความล่าช้าในการก่อสร้างหรือโอนกรรมสิทธิ์ กระทบรายได้และกระแสเงินสด กลุ่มที่มีหนี้ครบกำหนดชำระสูง และคาดหวังกระแสเงินสดจากการโอนในการชำระหนี้ อย่าง ORI (10,310 ลบ) และ  ANAN (7,339 ลบ.) มีความเสี่ยงสูง / แม้เป็นหุ้นพื้นฐานดี แต่ภาระการ refinance หนี้ที่สูงมากในปี 68 ของ SPALI (21,295 ลบ) และ LH (15,736 ลบ) มีแนวโน้มเป็นปัจจัยกดดันจนกว่าจะปิดความเสี่ยงจาก refinance ได้ (ประมาณปลายไตรมาส 3/68), 2.2) ประกันภัย บริษัทบางแห่งมีการรับประกันภัยตึกที่ถล่ม TIPH (40%), BKI (25%), อินทรประกันภัย (25%) และวิริยะประกันภัย (10%), 2.3) บริษัทก่อสร้าง/วัสดุก่อสร้าง ITD ในฐานะหุ้นส่วนของกิจการร่วมค้า (ITD-CREC) มีความเสี่ยง หากผลการตรวจสอบการวิบัติมาจากการก่อสร้าง หรือใช้วัสดุไม่มีคุณภาพ บริษัทมีหนี้ถึงกำหนดชำระใน 1 ปี ที่ 16,324 ลบ. ปัญหาดังกล่าวอาจเป็นจิตวิทยาลบกลับมากระทบธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้หลัก อาทิ KTB, SCB, BBL, KBANK (ตั้งสำรองหมดแล้ว) 

กลุ่มที่อาจได้ผลบวก/จิตวิทยาบวก 1.) ค้าปลีกที่เกี่ยวกับการตกแต่งซ่อมแซมที่อยู่อาศัย 
คาดเป็นปัจจัยบวกต่อ HMPRO มากที่สุด รองลมาคือ GLOBAL, DOHOME, 2) รับเหมาก่อสร้าง ปัญหาของ ITD ทำให้ผู้รับเหมารายอื่น อยู่ในสถานะที่ดีกว่าในการแข่งขันรับงานขนาดใหญ่ ซึ่งจิตวิทยาบวกต่อ STECON และ CK

 


 

มอง Donwside ของ SET จำกัดในช่วง 1,120-1,141 จุด อิง market cap ของ SET Index ที่ 0.53-0.54 ของ Money Supply ซึ่งเป็น bottom สำคัญของตลาด 4 ครั้งในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา กลุ่มที่น่าสนใจคือหุ้นที่มีโมเมนตัมกำไรเชิงบวก หรือไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีสหรัฐฯ อาทิ BTG, TFG, ADVANC, RATCH, STECON

ภาพรวมกลยุทธ์ ลงทุนในหุ้นรายตัว มูลค่าไม่แพง และปันผลสูง เรายังคงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นรายตัวที่ Valuation ไม่แพง และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง และหลีกเลี่ยงกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจจีนในช่วงสั้นเนื่องจากกระแสเงินได้เปลี่ยนไปพักในกลุ่มอื่นๆ เราชอบกลุ่มค้าปลีก พลังงานต้นน้ำ และ สื่อสาร 

แนวรับ: 1,160 แนวต้าน : 1,185 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 50% vs พอร์ตหุ้น 50%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    PTTEP (125.0) : เก็งกำไรจากราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวบวก มีโอกาสที่ earnings consensus มีโอกาสปรับเพิ่ม เราคาดว่า consensus จะใช้สมมติฐาน ASP ต่ำเกินไป ตัดขาดทุน 113.0 บาท
•    RATCH (34.0): ซื้อขายเพียง 7x PER และให้ผลตอบแทนปันผล 6% ราคาหุ้นได้แรงหนุนจากการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายและผลตอบแทนพันธบัตร ตัดขาดทุน 25.00 บาท
•    HMPRO (9.30) : ได้ปัจจัยหนุนเชิงบวกจากการซื้อหุ้นคืนที่ 6% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ EPS เพิ่มขึ้น 6.5% ตัดขาดทุน 8.10 บาท
•    MEB (23.5) : คาดกำไรปกติจะจะเติบโต 16% yoy  ซื้อ/ขาย Forward P/E ปี 68 ที่ 13x ไม่แพงเมื่อเทียบกับ ROE ระดับ 30%  ตัดขาดทุน 21.9 บาท

ประเด็นที่น่าสนใจ 

-    "ทรัมป์" เผยอาจทำดีลเรื่องภาษีตอบโต้หลังจากวันที่ 2 เม.ย.
-    ธปท. ขอความร่วมมือสถาบันการเงิน non-bank ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว
-    สถาบันการเงินรัฐเร่งออกมาตรการช่วยเหลือผู้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว
-    ทิพยประกันภัย ยันรับประกันตึก สตง. ไม่กระทบฐานะ เหตุทำประกันต่อ 95%

-    แผ่นดินไหวไม่กระทบท่องเที่ยว ไร้ความเสียหาย-ไม่มีนทท.ยกเลิกเดินทาง
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : PTTGC แนะนำ ซื้อ เป้า 21.00 บาท 

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

1 เม.ย. – TH S&P Global PMI, EU Inflation, JOLTs Job Openings 
 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ประเมินผลกระทบจากแผ่นดินไหวไม่มาก