วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ SET Index มีโอกาสปรับขึ้นต่อ

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ  SET Index มีโอกาสปรับขึ้นต่อ

ลุ้นการปรับขึ้นต่อ คาดวันนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ จากปัจจัยแวดล้อม โดยเฉพาะปัจจัยในต่างประเทศที่ดูสดใส จากการคงอัตราดอกเบี้ยของ Fed ไว้ตามเดิม

และคณะกรรมการยังคงคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายปี 68 ไว้ที่ 2 ครั้ง (ครั้งละ 0.25%) ตามเดิม พร้อมชะลอการทำ QT ทั้งนี้คณะกรรมการมีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 68 ลงเหลือ 1.7% จากเดิมที่ 2.1% พร้อมปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อขึ้นเล็กน้อยจาก 2.5% เป็น 2.8% จากความไม่แน่นอนของมาตรการกีดกันทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรามองการคาดการณ์ดังกล่าวเป็นจุดที่แย่ที่สุดแล้ว หากมาตรการกีดกันทางการค้าไม่รุนแรงเท่าที่คาด มีโอกาสที่จะเห็น 1) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น, 2) ประมาณการเติบโตของ GDP ที่สูงขึ้น และ 3) การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Risky Assets)     

ประเมิน Downside ของตลาดหุ้นไทยไม่ควรต่ำกว่าบริเวณ 1,100 จุด เราประเมิน Downside ของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่ บริเวณ 1,100 จุด ซึ่งคำนวณจาก Earning Yield Gap Model โดยอิง EPS ปี 2025F ที่ 94 บาท และอิง EYG ระดับ 6.5% ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติโควิดในช่วงก่อนหน้า หาก SET Index ปรับลดลงสู่บริเวณดังกล่าว เรามองเป็นโอกาสในการเข้าสะสมจาก Valuation ที่จะซื้อ/ขายที่ Forward P/E ปี 2025F เพียง 11.7 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ที่ 16 เท่า ค่อนข้างมาก จึงคาดจะเริ่มมีแรงซื้อกลับจากทั้งนักลงทุนสถาบันในประเทศ และนักลงทุนต่างชาติ 

ภาพรวมกลยุทธ์ เก็งกำไรรายตัวในกลุ่ม valuation ไม่แพง ปันผลสูง หรือเก็งกำไรแบบตัดขาดทุนในกลุ่มอิงเศรษฐกิจจีน อาทิ กลุ่มปิโตรเคมีที่ปัจจุบันอยู่ในสถานะมีการถือครองต่ำ (under-owned) แนะนำอยู่กับหุ้นปันผลที่คุณภาพดี  ตั้งแต่ต้นปี 2568 เป็นต้นมากลุ่มValuation ถูก และ หุ้นปันผลสูงให้ผลตอบแทนนำตลาด อิง ดัชนี SETHD -7% YTD มากกว่า ดัชนี SET -16% YTD เรามองว่าหุ้นที่มี valuation ไม่แพง มีอัตราการ

จ่ายเงินปันผลที่สูงจะนำตลาดต่อเนื่องในแนวโน้มข้างหน้า สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจทางพื้นฐาน เรามอง กลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก และอาหาร (เนื้อสัตว์) รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าใหญ่และหุ้นปันผลสูง หุ้นเล็กที่น่าสนใจ: MEB, SORKON, VRANDA, NER  บรรยากาศการลงทุนหุ้นจีนที่ดีขึ้น หนุนต่อ DR อิงหุ้นจีน

แนวรับ: 1,150  แนวต้าน : 1,215 จุด

สัดส่วนลงทุน: พอร์ตหุ้น 60% vs เงินสด 40%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    BDMS (25.5): ราคาหุ้นปรับลดลงมาเกินผลกระทบจาก co-payment และคาดจะได้ประโยชน์จากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ตัดขาดทุน 23 บาท
•    AP (10): แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 68 ดูดีสุดในกลุ่มอสังหาฯ ราคาหุ้นปรับลดลงมามากจนมูลค่าหุ้นไม่แพง และอัตราเงินปันผลสูงถึง 6-7% ตัดขาดทุน 8.60 บาท
•    SNNP (15): คาดผลการดำเนินงานปี 68 จะกลับมาฟื้นตัว จากทั้งรายได้ที่ได้แรงหนุนจากรายได้ต่างประเทศ และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น ตัดขาดทุน 12.20 บาท
•    MEB (27): ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานปี 68 จะเติบโตดีต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนถ่ายหนังสือเล่มสู่ E-Book ราคา ณ ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E เพียง 13 เท่า ตัดขาดทุน 22.20 บาท 

ประเด็นที่น่าสนใจ 

-    เฟดคงดอกเบี้ยตามคาด ส่งสัญญาณหั่นดอกเบี้ย 2 ครั้งปีนี้ พร้อมหั่นคาดการณ์การเติบโตของ GDP ลง เหลือ 1.7%
-    สหรัฐ พร้อมหารือ “จีน-แคนาดา” กรณีข้อพิพาท WTO หลังถูกตอบโต้ภาษี
-    อินโดนีเซีย ผ่อนปรนกฎซื้อหุ้นคืน ไม่ต้องขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้น เป็นเวลา 6 เดือน เริ่ม 18 มี.ค.68
-    คมนาคม เล็งชงครม.สัปดาห์หน้าอนุมัติลงทุน "บ้านเพื่อคนไทย" หลังถอดออกมาทบทวน
-    GULF เข้าถือหุ้น KBANK 3.25% ขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 5
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : AEONTS แนะนำ ซื้อ เป้า 152 บาท

 

 

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

21 มี.ค. – JP Infaltion Rate (Feb)
25 มี.ค. – BoJ Monetary Policy Meeting Minutes
 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ  SET Index มีโอกาสปรับขึ้นต่อ