วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ Bank Sector ถ้าตั้ง bad bank แล้วจะเป็นอย่างไร

การตั้ง bad bank จะส่งผลดีกับทุกธนาคาร เพราะจะเปิดช่องทางใหม่ในการระบายหนี้เสียออกจากธนาคาร โดยในปัจจุบันธนาคารลด NPL ด้วยการ write-off หนี้เสีย
ขายหนี้เสียออกไปให้ AMC และ ตั้ง JV ร่วมกับ AMC เฉพาะทาง โดย KBANK มีการจัดการระบายหนี้เสียออกไปมากสุดในช่วง 2 ปี ที่ประมาณ 1.50 แสนล้านบาทในช่วงปี 2566-2567 (หรือประมาณ 6% ของสินเชื่อรวม) รองลงมาคือ SCB ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท (หรือประมาณ 4% ของสินเชื่อรวม)
… โดยจะดีกับธนาคารที่มีการปล่อยสินเชื่อรายย่อย และ SME ในระดับสูง
แนวคิดเรื่อง bad bank มุ่งแก้หนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อผู้บริโภค เราจึงคิดว่าสินเชื่อผู้บริโภคที่ปลอดหลักประกัน, สินเชื่อ H/P และ สินเชื่อบ้านน่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายอันดับแรก ๆ แต่เนื่องจากแนวคิดของ bad bank ยังไม่ชัดเจน จึงมีความคิดว่าน่าจะตั้งโดยใช้ค่าธรรมเนียมกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) นอกจากนี้ หนี้เสียของธนาคารน่าจะโอนไปที่ bad bank ในราคาที่กำหนดแน่นอน โดยราคา settlement น่าจะเป็นหักจากค่าธรรมเนียม FIDF ซึ่ง ณ ระดับนี้ ธนาคารขนาดเล็กน่าจะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะสัดส่วนสินเชื่อผู้บริโภค และ SME รวมกันอยู่ที่ 78% ในขณะที่ของ TTB อยู่ที่ 70%, ของ KTB และ SCB อยู่ที่ 58% และ ของ KBANK อยู่ที่ 56% (BBL จะได้ประโยชน์น้อยที่สุด เพราะสินเชื่อส่วนใหญ่ปล่อยให้ธุรกิจขนาดใหญ่) นอกจากนี้ การที่ธนาคารทุกแห่งมีส่วนรองรับหนี้เสียอยู่ในระดับที่สูง ดังนั้นการขาย NPL จึงไม่น่าจะทำให้เกิดผลขาดทุนกับธนาคาร
ช่วงราคาการซื้อกว้างมาก และยังไกลจากความเป็นรูปธรรม
ในปัจจุบัน ราคาขาย NPL ในกลุ่มสินเชื่อปลอดหลักประกันอยู่ที่ <10% ของ FV และ ในกลุ่มสินเชื่อมีหลักประกันอยู่ที่ประมาณ 35-40% หากมีการจัดตั้ง bad bank ธนาคารอาจจะลด NPL ลงไปได้ถึง 1/4 (ภายใต้สมมติฐานจากการลดค่าธรรมเนียม FIDF ประมาณ 50% มาใช้ในการซื้อหนี้) อย่างไรก็ตามแผนดังกล่าวถือเป็นแนวคิดเบื้องต้น และยังไม่ได้เป็นรูปธรรมมากนัก
Risks
NPLs เพิ่มขึ้น, ตั้งสำรองเพิ่มขึ้น, ผลขาดทุน FVTPL.







