วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ภาพดัชนีอ่อนแอ เน้นหลบในหุ้นปลอดภัย

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ภาพดัชนีอ่อนแอ เน้นหลบในหุ้นปลอดภัย

ภาพรวมดัชนียังคงอ่อนแออย่างต่อเนื่อง โดยหลักถูกกดดันจากปัจจัยในต่างประเทศที่มีมาตรการสงครามทางการค้าของแต่ละประเทศยังคงมีความไม่แน่นอน

และยังมีการตอบโต้กันไปมาระหว่างนานาประเทศ  ขณะที่ปัจจัยในประเทศภาพรวม จะมีประเด็นความไม่แน่นอนทางการเมือง และเศรษฐกิจที่อ่อนแอคอยกดดัน โมเมนตัมของดัชนี ด้วยเหตุผลดังกล่าว เราจึงคงแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบเลือกลงทุนเป็นรายตัวเป็นหลัก เรายังคงชอบกลุ่มค้าปลีก, ปศุสัตว์, โรงไฟฟ้า และธนาคาร ที่เข้าเกณฑ์หุ้นปลอดภัยของเรา คือ 1) โดยหลักทำธุรกิจในประเทศ, 2) P/E ไม่สูง, 3) มีอัตราเงินปันผลรองรับ เรามองว่าทั้ง 3 เกณฑ์จะช่วยจำกัด downside risk ของราคาหุ้นได้        

การอ่อนค่าของเงินสหรัฐฯ ดีกับ TIP market แต่ไทยอาจถูกถ่วงด้วยปัจจัยการเมืองในประเทศและราคาน้ำมันดิบ: ดัชนีค่าเงินสหรัฐฯ (Dollar Index) ที่อ่อนค่าลงในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีแนวโน้มเป็นบวกต่อทิศทางเงินทุนและภาพรวมการลงทุนหุ้นในกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์) อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยถ่วงที่สำคัญ เราประเมินว่ามาจากปัญหาการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะข่าวฮั้วสว. เนื่องจากหากมีเหตุให้สว.ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ อาจส่งผลกระทบต่อการผ่านร่างกฎหมายสำคัญ รวมไปถึงพรบ.งบประมาณปี 2569 นอกจากนี้ การปรับลดลงของราคาน้ำมันดิบจากโอกาสยุติความขัดแย้งยูเครนรัสเซีย และการปรับเพิ่มกำลังการผลิตของโอเปค เป็นปัจจัยกดดันต่อกำไรกลุ่มพลังงาน และ EPS ของ SET Index ทำให้การลงทุนอาจต้องเน้นกลุ่มที่อิงเศรษฐกิจในประเทศ และได้ประโยชน์ต่อทิศทางราคาพลังงานที่ทรงตัวถึงต่ำลง 

ภาพรวมกลยุทธ์ เลือกเก็งกำไรรายตัวในกลุ่ม valuation ไม่แพง หรือเก็งกำไรแบบตัดขาดทุนในกลุ่มอิงเศรษฐกิจจีน อาทิ กลุ่มปิโตรเคมีที่ปัจจุบันอยู่ในสถานะมีการถือครองต่ำ (under-owned) //สำหรับกลุ่มที่น่าสนใจทางพื้นฐาน เรามอง กลุ่มท่องเที่ยว, การแพทย์, ค้าปลีก และอาหาร (เนื้อสัตว์) รวมถึงกลุ่มโรงไฟฟ้าใหญ่

และหุ้นปันผลสูง // หุ้นเล็กที่น่าสนใจ: MEB, SORKON, VRANDA, NER // บรรยากาศลงทุนหุ้นจีนที่ดีขึ้น หนุนต่อ DR อิงหุ้นจีน

แนวรับ: 1,150 แนวต้าน : 1,200/1,215 จุด

สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%

หุ้นแนะนำ  (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)

•    BDMS (25): ประเมินราคาหุ้นปรับลดลงมาเกินผลกระทบของ co-payment และได้อานิสงส์จากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ตัดขาดทุน 22.50 บาท 
•    BCH (17): ผลการดำเนินงานได้แรงหนุนจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในประเทศ ขณะที่อัตราค่ารักษาโรคซับซ้อนกลับมาคงที่อีกครั้ง ตัดขาดทุน 14.60 บาท
•    RATCH (30) : หุ้น Defensive ที่ปัจจุบันซื้อขาย PER 7 เท่า และให้ผลตอบแทนปันผลทั้งปี 6% (ปันผลที่จะถึง 0.80 บาท XD 17 มี.ค.)  ตัดขาดทุน 25 บาท
•    BTG (21): ได้ประโยชน์จากราคาเนื้อหมูในประเทศที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบหลักมีแนวโน้มปรับลดลง ตัดขาดทุน 15.70 บาท 

ประเด็นที่น่าสนใจ 

-    สหรัฐเผยดัชนี CPI +2.8% เดือนก.พ. ต่ำกว่าคาดการณ์
-    ทรัมป์ ‘กลับลำ’ ลดภาษีเหล็ก - อะลูมิเนียมเหลือ 25% หลังแคนาดาถอยเก็บภาษีไฟฟ้า
-    แคนาดารีดภาษี 25% ต่อสินค้าสหรัฐกว่า 2 หมื่นล้านดอลล์ ตอบโต้ "ทรัมป์"
-    "ทรัมป์" ขู่จัดหนักลงโทษรัสเซีย หาก "ปูติน" เมินข้อตกลงหยุดยิง
-    EU เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ 2.6 หมื่นล้านยูโร ตอบโต้ถูกรีดภาษีเหล็ก-อะลูมิเนียม
-    “ยูเครน” ตอบรับข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว 30 วัน สหรัฐเตรียมเจรจารัสเซียทันที
-    คมนาคม คาด ครม.เคาะส่วนต่อขยายสายสีแดงวงเงิน 1.5 หมื่นลบ.ใน เม.ย.นี้
-    บอร์ดค่าจ้าง ยังไม่เคาะ ขึ้นค่าแรง 400 บาททั่วประเทศ ประชุมอีกครั้ง 8 เม.ย.68
-    ตลท.ให้ THAI เข้าสู่ช่วง Resume Stage แก้ไขคุณสมบัติก่อนกลับเข้าเทรด
-    วงในเผย TSMC ชวน Nvidia-AMD-Broadcom ร่วมทุนในโรงงานชิปของ Intel
-    บทวิเคราะห์วันนี้ : Banking แนะนำ Overweight/ AU ปรับลดคำแนะนำ เป็น ถือ เป้า 9 บาท     
 

 

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

13 มี.ค. – US PPI
17 มี.ค. – US Retail Sales

 

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ภาพดัชนีอ่อนแอ เน้นหลบในหุ้นปลอดภัย