วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ลุ้น Rebound

วันพุธที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway Down โดยนักลงทุนกังวลความไม่แน่นอนมาตรการภาษีของสหรัฐ และกังวลเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย มีแรงขายกดดันนำโดยหุ้นกลุ่ม Big-Cap อาทิ พลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ ไอซีที และค้าปลีก
ขณะที่วานนี้นักลงทุนจับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,160.06 จุด -27.57 จุด -2.32% มูลค่าการซื้อขาย 46,281.66 ลบ. Program Trading -3,858.15 ลบ. ต่างชาติ -2,965.28 ลบ. TFEX -12,656 สัญญา ตราสารหนี้ +8,650.64 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดเพิ่มขึ้น 1.43 ดอลลาร์ หรือ +2.2% ปิดที่ 67.68 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสหรัฐฯ เผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด และสต็อกเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรที่จะมีต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก
+ สหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 2.8%YoY ในเดือนก.พ. ชะลอตัวลงจากเดือนม.ค.ที่เพิ่มขึ้น 3.0% และ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.9% ช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจว่าเงินเฟ้อกาลังเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้อง และทำให้มีความหวังว่า FED จะปรับลด อัตราดอกเบี้ย
+ แถลงการณ์ร่วมระหว่างสหรัฐฯ และยูเครนระบุว่า ยูเครนส่งสัญญาณถึงความพร้อมที่จะยอมรับข้อเสนอของสหรัฐฯ สำหรับ "การหยุดยิงเป็นเวลา 30 วันทันที" ภายหลังการหารือกับตัวแทนของสหรัฐฯ ที่เมืองเจดดาห์ของซาอุดีอาระเบีย
+ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ลงมติผ่าน ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว เพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลกลางได้รับเงินสนับสนุนต่อไป ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะชัตดาวน์หรือการปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วน
+ ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.0% ที่ FED จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนมี.ค. นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่า FED จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนมิ.ย.
+ ส.อ.ท. รายงานดัชนีอุตสาหกรรมเดือนก.พ.68 ขยับขึ้นแตะระดับ 93.4 ได้แรงหนุนจากกนง.ปรับลดอัตราดอกเบี้ยและมาตรการค้าประกันสินเชื่อเช่าซื้อรถกระบะ ช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเสริมสภาพคล่อง
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 82.55 จุด หรือ -0.20% เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้า อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ชะลอตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
- กลุ่มติดอาวุธฮูตีในเยเมนประกาศว่าจะกลับมาโจมตีเรืออิสราเอลอีกครั้งเป็นครั้งแรกในรอบประมาณ 2 เดือน เพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลตัดสินใจปิดกั้นความช่วยเหลือ ไม่ให้เข้าสู่ฉนวนกาซา
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวว่า รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรทางการค้าและทางเศรษฐกิจอย่างหนัก หากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ปฏิเสธ ที่จะยอมรับข้อตกลงหยุดยิงกับยูเครนเป็นเวลา 30 วัน
- แคนาดาจะเรียกเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลล่าร์เพื่อตอบโต้สหรัฐฯจะเรียกเก็บภาษี 25% เหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดา
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้มีโอกาส Rebound ระยะสั้น โดยมีแรงหนุนจากสหรัฐเปิดเผยดัชนี CPI ชะลอตัวลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ทำให้มีความหวังว่าเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ประกอบกับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ Rebound ช่วยพยุงหุ้นกลุ่มพลังงาน มองกรอบดัชนีวันนี้ที่ 1,150-1,170 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากกระแสซีรีส์ "The White Lotus" : WPH RP MINT CENTEL BA BAREIT
• หุ้นส่งออก ม.ค. เติบโตดี : STA NER GFPT AAI ITC
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก กนง. ลดดอกเบี้ย : AP LH SIRI SC SPALI QH MTC TIDLOR
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA : CPALL SCB TISCO EGCO BDMS TU ADVANC
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก ThaiESG Extra : BBL BEM CPALL PTT TISCO
หุ้นรายงานพิเศษ
MEDEZE "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 11.40 บาท ราคาปิด 8.15 บาท upside 40%
•ปี 67 มีรายได้จากการขายและให้บริการ 829 ล้านบาท เติบโต 18%YoY จากการเพิ่มขึ้นของความต้องการจัดเก็บเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) การเพิ่มขนาดทีมขาย และพันธมิตรการค้าที่เป็นตัวแทนให้บริการและตัวแทนจำหน่าย โดยมีกำไร 339 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41%YoY ดีกว่าคาดของเรา 10% อัตรากำไรสุทธิปรับดีขึ้นสู่ 37.8% จาก 33.6% ในปี 66
•แผนงานปี 68 เดินหน้าธุรกิจเซลล์รากผม ติดตั้งระบบการจัดเก็บเซลล์ด้วยหุ่นยนต์ รวมถึงการจัดตั้งธนาคารเซลล์ต้นกำเนิด (Cell Banksing Biotechnology) ที่ประเทศฟิลิปปินส์ผ่านบริษัทย่อย
•ความเห็น ฝ่ายวิจัยมีมุมมองบวกต่อศักยภาพในการเติบโตของรายได้และผลการดำเนินงาน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตจากธุรกิจเดิมแล้วยังมีธุรกิจใหม่ในการจัดเก็บเซลล์และ ปลูกถ่ายเซลล์รากผมเราประมาณการปี 68 คาดรายได้และกำไรราว 1,013 ล้านบาท และ 410 ล้านบาท ซึ่งเติบโต 22%YoY และ 21%YoY และคาดการณ์ yield เฉลี่ย 1.4-1.5% ต่อปี ราคาปิดล่าสุดซื้อขายที่ระดับ P/E 25.7 เท่าแม้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ที่ระดับ 23.58 เท่าและยังมีupside จึงคงคำแนะนำ ”ซื้อ“
หุ้นมีข่าว
(+) TIDLOR (Bloomberg Consensus 20.00 บาท) มั่นใจการแลกหุ้น 1 : 1 ระหว่าง 10 มีนาคม - 16 เมษายนนี้ เพื่อเดินหน้าเป็นโฮลดิ้งจะประสบความสำเร็จแม้ กระบวนการล่าช้า แย้มเล็งแยกธุรกิจประกันเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น ขณะที่วางเป้ารายได้ปีนี้เติบโตต่อเนื่อง มอง NPL ผ่านจุดแย่สุดไปแล้ว แต่ยังปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวัง พร้อมเดินหน้าขยายสาขาไม่เกิน 100 แห่ง (ที่มา ทันหุ้น)
(+) PJW (ราคาเหมาะสม 3.20 บาท) เดินเกมรุกธุรกิจ Healthcare ปีนี้ออก 2 สินค้าใหม่ ดันสัดส่วนรายได้แตะ 20% จากปีก่อนแค่ 10% เป้าระยะยาวหวังเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้รวม เผยมาร์จิ้นดีกว่าปกติ หนุนอัตรากำไรขั้นต้นเติบโตกว่า 20-23% ขณะที่รายได้ปี 2568 คาดโต 15-20% กำไรบรรทัดสุดท้ายหวังกลับไปเท่าหรือมากกว่าปี 2566 และก้าวกระโดดต่อเนื่องหลังงานยานยนต์ส่อฟื้น (ที่มา ทันหุ้น)
(+) XPG (Bloomberg Consensus - บาท) เล็งทุ่มงบราว 1-2 พันล้านบาท ช็อปหนี้เสีย อัพพอร์ตเดิมราว 4 พันล้านบาท ปูทางรับทรัพย์ระยะยาว พร้อมปักเป้าปี 2568 รายได้แตะ 1.1 พันล้านบาท หรือโต 20% จากปีก่อน รับฐานธุรกิจทุกกลุ่มโตต่อเนื่อง แถมตอกย้ำผู้นำตัวกลางทางการเงิน ลุยเสิร์ฟบริการครบวงจร (ที่มา ทันหุ้น)
(+) TEAMG (Bloomberg Consensus - บาท) เล็งโกยงานใหม่ 2.6 พันล้านบาท เน้นเอกชน ดันแบ็กล็อกในมือสิ้นปี 2568 เป็น 5 พันล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ 4.48 พันล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ขยายตัว 10-15% เชื่องานโครงสร้างพื้นฐานเต็มตลาด ผนวกกระแสรักษ์โลกเข้มข้น ด้านงานบริหารมุ่งใช้นวัตกรรมลดต้นทุนติดปีกให้บุคลากร เสริมความเร็ว-แม่นยำการทำงานด้วยเครื่องมือ AI (ที่มา ทันหุ้น)