วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก กังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย

วันจันทร์ที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway Down จากความกังวลสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความกังวลเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ มีแรงขายกดดันจากหุ้นกลุ่ม Big-Cap นำโดย อิเล็กทรอนิกส์ พลังงาน ค้าปลีก และไอซีที
ขณะที่สัปดาห์นี้นักลงทุนจับตาการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐ ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,177.44 จุด -24.59 จุด -2.05% มูลค่าการซื้อขาย 34,257.69 ลบ. Program Trading -3,285.84 ลบ. ต่างชาติ -3,372.12 ลบ. TFEX -30,356 สัญญา ตราสารหนี้ +226.51 ลบ.
ปัจจัยบวก
+ บอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ มีมติแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เฟส 3 อายุ 16-20 ปี กว่า 2.7 ล้านคน พร้อมเปิดเงื่อนไขใหม่ใช้ได้ทุกประเภทสินค้า-ค่าเทอมซึ่งน่าจะเป็นช่วงปลายไตรมาส 2 ถึงต้นไตรมาส 3 ส่วนกลุ่มที่เหลือพร้อมแจกในช่วงที่เหลือของปีนี้
+ ตลท. เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการดูแลตลาดหุ้นไทยว่าได้เร่งดำเนินการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในหลายแนวทาง ทั้งการโยกเงินจาก LTF ที่มีวงเงินคงค้างอยู่กว่า 1.8 แสนล้านบาท ให้มาอยู่ในกองทุน TESG ใหม่ ขณะที่โครงการซื้อหุ้นคืนนั้น ได้หารือกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อให้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์และเงื่อนไขให้ บริษัทจดทะเบียนใน ตลท. มีความสามารถหมุนเวียนกระแสเงินสดได้คล่องตัวขึ้น
ปัจจัยลบ
- ดัชนีดาวโจนส์ปิด ลดลง 890.01 จุด หรือ -2.08% เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรและความเป็นไปได้ที่จะมีการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือชัตดาวน์ ได้ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
- สัญญาน้ำมันดิบ WTI ปิดลดลง 1.01 ดอลลาร์ หรือ -1.51% ปิดที่ 66.03 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ ประกาศใช้กับแคนาดา เม็กซิโกและจีนอาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และทำให้ความต้องการใช้น้ำมันชะลอตัวลง
- ดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุน ในตลาดหุ้นสหรัฐ พุ่งขึ้นกว่า 14% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐจากสงครามการค้า
- โกลด์แมน แซคส์ปรับเพิ่มโอกาสที่สหรัฐฯ จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็น 20% จากเดิม 15% โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์และเงินเฟ้อ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการจ้างงานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
- มอร์แกน สแตนลีย์ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ของสหรัฐฯ ในปี 2568 ลงสู่ระดับ 1.5% จากเดิม 1.9% เนื่องจากผลกระทบของนโยบายการค้าและ การควบคุมผู้อพยพเข้าประเทศมีความรุนแรงมากกว่าที่ประเมินไว้
- อิสราเอลประกาศตัดไฟฟ้าในฉนวนกาซาเพื่อกดดันให้กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกัน ขณะเดินหน้าเจรจาภายใต้ข้อตกลงหยุดยิง 3 ระยะ
- ญี่ปุ่นลดประมาณการ GDP Q4/67 เหลือ 2.2% จาก 2.8% หลังใช้จ่ายผู้บริโภคชะลอตัว
แนวโน้มตลาดวันนี้
คาดดัชนีในวันนี้ยังมีโอกาสปรับตัวลงต่อ โดยมีแรงกดดันจากมาตรการภาษีศุลกากรและความเป็นไปได้ที่จะมีการปิดหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐ ได้ส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ประกอบกับ Fund Flow นักลงทุนต่างชาติยังไหลออกต่อเนื่อง มองกรอบดัชนีวันนี้ที่ 1,160-1,185 จุด
กลยุทธ์การลงทุน
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากกระแสซีรีส์ "The White Lotus" : WPH RP MINT CENTEL BA BAREIT
• หุ้นส่งออก ม.ค. เติบโตดี : STA NER GFPT AAI ITC
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก กนง. ลดดอกเบี้ย : AP LH SIRI SC SPALI QH MTC TIDLOR
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการ TISA : CPALL SCB TISCO EGCO BDMS TU ADVANC
หุ้นรายงานพิเศษ
STECON ("ซื้อ" bloomberg consensus 6.50 )
"ปี 68 ฟ้าหลังฝน"
•รายงานขาดทุน 4Q67 ที่ 2,288 ลบ. ขาดทุนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ QoQ เนื่องจากมีการตั้งสำรองโครงการ CFP ของของ TOP 1,012 ล้านบาทและ มีค่าใช้จ่ายด้อยค่าในอาคารชุด 170 ล้านบาท นอกจากนี้มีการตั้งค่าเผื่อซ่อมแซมอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอนและการปรับปรุงระบบ ความปลอดภัยของ MRT สายสีชมพูและเหลืองรวมกันราว 800 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทมีรายได้ปี 67 ราว 2.99 หมื่นลบ.+1%YoY แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนมีผลขาดทุน2.4 พันล้านบาทพลิกจากกำไร
•ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 68 เติบโต 10% สู่ 3.2 หมื่นลบ.โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้จาก Backlog ที่มี ราว 9.0 หมื่นลบ. และร่วมประมูลงานใหม่ที่คาดว่าจะเปิดประมูลในปีนี้ราว 4.5 แสนลบ. โดยบริษัทคาดว่าจะได้งานใหม่ราว 5 หมื่นลบ. และตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นที่ 7% ซึ่งเป็นระดับปกติ เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบึงหนองบอน อีกทั้งงานใหม่มีค่าเฉลี่ยอัตรากำไรขั้นต้นที่ 7% และ ภายในครึ่งปีแรกคาดว่าจะสามารถปิดดีล data center และลงทุนในสตาร์ทอัพได้อย่างละ 1 โครงการ
•ความเห็น เรามีมุมมองบวกเนื่องจากคาดว่าผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและคาดว่าผลประกอบการ 1Q68 จะสามารถพลิกกลับมาเป็นกำไร หลังไม่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมบึงหนองบอน ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างเคลมประกันค่าซ่อมแซมบึงหนองบอนซึ่งคาดว่าจะได้รับภายใน 1H68 และภาครัฐเตรียมเปิดประมูลงานใหม่ในปี 68 ราว 4.5 แสนลบ.เป็นปัจจัยหนุนต่อราคาหุ้น เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก "ซื้อเก็งกำไร" เป็น "ซื้อ"
หุ้นมีข่าว
(+) BJC (Bloomberg Consensus 26.00 บาท) ตั้งเป้ารายได้รวมและยอดขายรวมโตราว 4-5% หนุนจากการเติบโตทุกกลุ่มธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับกลยุทธ์รุกขยายฐานลูกค้าไปในกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพ ควบคู่บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งงบ 1.2 หมื่นล้านบาท ขยาย 7 สาขาขนาดใหญ่ และปรับปรุงสาขา คาดยอดขายไตรมาส 1/2568 เติบโตเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน (ที่มา ทันหุ้น)
(+) SHR (Bloomberg Consensus 3.35 บาท) ปักเป้าปี 2568 รายได้ราว 1.1 หมื่นล้านบาท รับดีมานด์โต รุกขยับราคาห้องพักเพิ่ม หนุนรายได้ค่าห้องพักสูงขึ้นราว 5-10% จ่อทุ่มงบราวพันล้านบาท ปรับปรุงโรงแรม-รีแบรนดิ้ง ปูทางรับทรัพย์อนาคต แถมบอร์ดไฟเขียวปันผลหุ้นละ 0.03 บาท กำหนดจ่าย 8 พฤษภาคม (ที่มา ทันหุ้น)
(+) III (Bloomberg Consensus 7.18 บาท) ย้ำเป้ารายได้ปี 2568 โต 15-20% เหตุทุกธุรกิจเติบโตเด่น "ขนส่งทางอากาศ คลังสินค้า-โลจิสติกส์ เคมีภัณฑ์"-บริหารจัดการโลจิสติกส์" ด้าน AOTGA ผลงานดี พร้อมตั้งงบลงทุนปีนี้ ณ 800-1,000 ล้านบาท ลงทุนโครงการต่างๆ คาดชัดเจนครึ่งปีหลัง (ที่มา ทันหุ้น)
(+) TMAN (Bloomberg Consensus 23.05 บาท) ลงนามสัญญาตัวแทนจำหน่าย "โฟต้าเจล" สินค้าจาก "แดวอน" บริษัทยาชั้นนำจากเกาหลีใต้ ประกาศชูความโดดเด่นด้านนวัตกรรมยาบรรเทาอาการท้องเสียรูปแบบเจลพร้อมรับประทาน เดินเครื่องเจาะช่องทางโรงพยาบาล คลินิก และร้านขายยาทั่วประเทศ ไตรมาส 2/2568 ชิงส่วนแบ่งตลาดสู่ผู้นำตลาด เร่งขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจรับจัดจำหน่ายยา-เวชภัณฑ์จากบุคคลภายนอก หนุนรายได้ทั้งปีเติบโต 10-15% (ที่มา ทันหุ้น)







