วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ผันผวน

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ผันผวน

วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาดัชนีเคลื่อนไหว Sideway Down โดยมีแรงขายกดดันนำโดย กลุ่มพลังงาน จาก ราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวลง ประกอบกับมีแรงขายเพิ่มเติมในหุ้นกลุ่มค้าปลีก ธนาคาร และขนส่ง เป็นปัจจัยกดดันเพิ่มเติม

มีแรงซื้อนำโดยหุ้น DELTA ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการประกาศตัวเลขการจ้างงาน ของสหรัฐในวันนี้ ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,189.55 จุด -17.41 จุด -1.44% มูลค่าการซื้อขาย 47,199.92 ลบ. Program Trading -6,074.93 ลบ. ต่างชาติ -4,743.97 ลบ. TFEX -28,240 สัญญา ตราสารหนี้ +5,070.79 ลบ.

ปัจจัยบวก    

+ สัญญาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 5 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 66.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ รวมทั้ง ข่าวที่ว่ากลุ่มประเทศโอเปคพลัส ประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย.
+ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเลื่อนเวลา การเรียกเก็บภาษีต่อสินค้าที่นำเข้าจากเม็กซิโกออกไปจนถึง วันที่ 2 เม.ย. ซึ่งจะบังคับใช้สำหรับสินค้าที่อยู่ภายใต้ข้อตกลงการค้าเสรีสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (USMCA)
+ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 6 นับตั้งแต่ ECB เริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยใน เดือนมิ.ย.2567
+ สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 21,000 ราย สู่ระดับ 221,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 236,000 ราย

ปัจจัยลบ 

- ดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 427.51 จุด หรือ -0.99% ส่วนดัชนี Nasdaq ทรุดตัวลงกว่า 2% และเข้าสู่เขตปรับฐาน (Correction Territory) แล้ว เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

 

- อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า กรณีที่สหรัฐ ขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากแคนาดา เม็กซิโกและจีน คาดว่าจะส่งผลกระทบทางอ้อมส่งผลให้ GDP ไทยลดลง 0.1-0.5% ส่วนการขึ้นกำแพงภาษีรถยนต์จะกระทบกับไทยทำให้ GDP ลดลง 0.35-0.40% ส่งผลให้ GDP ปีนี้โตเพียง 2.6-2.8%
- ECB ลดคาดการณ์เศรษฐกิจยูโรโซนเหลือขยายตัว 0.9% ใน ปี 2568 จากเดิมคาด 1.1% เนื่องจากการส่งออกที่ลดลง การลงทุนที่ซบเซาอันเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายทางการค้า รวมทั้งภาวะไร้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
- สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐพุ่งขึ้น 34% สู่ระดับ 1.314 แสนล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ที่ระดับ 1.283 แสนล้านดอลลาร์ จากระดับ 9.810 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนธ.ค.2567

แนวโน้มตลาดวันนี้    

คาดดัชนีในวันนี ยังมีโอกาสแกว่งตัวผันผวนระหว่างวัน โดยมีนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐ ขณะที่ในประเทศยังขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนตลาด มองกรอบดัชนีวันนี ที่ 1,180-1,200 จุด

กลยุทธ์การลงทุน   

• หุ้นที่ได้ประโยชน์จากกระแสซีรีส์ "The White Lotus" : WPH RP MINT CENTEL BA BAREIT
• หุ้นส่งออก ม.ค. เติบโตดี : STA NER GFPT AAI ITC
• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก กนง. ลดดอกเบี้ย : AP LH SIRI SC SPALI QH MTC TIDLOR

 

 

 

หุ้นรายงานพิเศษ  

HMPRO - "ซื้อ" (Bloomberg Consensus 11.00 บาท)
"บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ในปี 68 โต 5-7%

วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.โกลเบล็ก ผันผวน

•งวด 4Q67 บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,727 ลบ. +3%YoY, +19%QoQ โดยมีรายได้จากการดำเนินงานเท่ากับ 16,960 ลบ. +0.5%YoY, +6%QoQ รายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสาเหตุหลักจากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ทางภาคเหนือคลี่คลาย ทำให้มีอุปสงค์ในการซื้อสินค้าทดแทนสินค้าที่ได้รับความเสียหาย มี %GPM ที่ระดับ 27.8% เพิ่มขึ้น YoY, QoQ จาก 27.34% และ 27.05% ในงวด 4Q66 และ 3Q67 ตามลำดับ เนื่องจากการขายสินค้า private brand ที่มี margin สูงของทั้งโฮมโปร และเมกาโฮมมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปี 67 บริษัทมีรายได้รวม 72,577 ลบ. -0.3%YoY กำไรสุทธิ 6,504 ลบ. +1%YoY

•สิ้นปี 67 บริษัทมีสาขาในไทยรวม 129 สาขา แบ่งเป็นโฮมโปร 94 สาขา โฮมโปรเอส 5 สาขา และ เมกาโฮม 30 สาขา ประเทศมาเลเซีย 7 สาขา ปี 68 บริษัทมีแผนเปิดสาขาใหม่ 12 แห่งในไทย แบ่งเป็นโฮมโปร 7 สาขา เมกาโฮม 5 สาขา และตั้งเป้าการเติบโตของสาขาเดิม (SSSG) โต 2-3% รายได้โต 5-7% ขณะที่ %GPM ขยายตัวได้ราว 0.2-0.3% จากการขายสินค้า private brand และการปรับเป็นสาขา hybrid (โฮมโปร+เมกาโฮม) ในบางสาขา

•ความเห็น เรามีมุมมองเป็นกลางต่อภาพการเติบโตของรายได้ในปี 68 จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่เห็นการฟื้นตัวชัดเจน โดย Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 68 ราว 7,559 ลบ. +8%YoY โดยราคาปัจจุบันซื้อขายที่ P/E ปี 68 ราว 15x อยู่ในระดับ -2SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี มีราคาเหมาะสม Bloomberg Consensus เฉลี่ย 11.00 บาท upside 32% ด้วย valuation ที่ไม่แพงเมื่อเทียบกับในอดีต บริษัทประกาศจ่ายปันผลรอบครึ่งหลังปี 67 จำนวน 0.25 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ราว 3% XD วันที่ 22/4/68 เราจึงแนะนำ “ซื้อ”

หุ้นมีข่าว

(+) AOT (Bloomberg Consensus 55.00 บาท) ชี้อนาคต นักท่องเที่ยวเข้าไทย ลุยขยายสนามบินสุวรรณภูมิ จ่อเปิดประมูลส่วนต่อขยายทิศตะวันออกปลายไตรมาส 2/2568 รับผู้โดยสารเพิ่มจาก 65 ล้านคนอีก 15 ล้านคน พร้อมลุยแผนแม่บท 1.42 แสนล้านบาท รับผู้โดยสาร 150 ล้านคนต่อปี ย้ำต้องยึดถือสัญญา คิงเพาเวอร์ต้องจ่ายตามเดิม ส่วนการเลื่อนชำระผลตอบแทนมีค่าปรับ 9% (ที่มา ทันหุ้น)

(+) BGRIM (Bloomberg Consensus 16.00 บาท) ตั้งเป้ารายได้รวมทั้งปีโต 10-15% จากการทยอย COD โครงการใหม่ รวมกำลังการผลิตติดตั้งราว 605 เมกะวัตต์ เดินหน้าเพิ่มลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ 40-50 เมกะวัตต์ ควบคู่ปรับสัญญาลูกค้ากลุ่มเดิม ให้สอดคล้อง ระบบ Pool Gas ย้ำชัด Global Minimum Tax ไม่กระทบ กำงบ 1.2 หมื่นล้านบาท เร่งลงทุน เผยเตรียมปิดดีลพันธมิตรลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในครึ่งแรกของปีนี (ที่มา ทันหุ้น)

(+) OSP (Bloomberg Consensus 19.90 บาท)เผยงบลงทุนปีนี้ 1 พันล้านบาท ผลิตกระป๋องอะลูมิเนียมสนับสนุนสินค้าส่งออก และลุยเทคโนโลยี ทดแทนพนักงาน ส่วนเป้ารายได้รวมคาดโต 5% บริหารกำไรอยู่หมัดหวัง Gross Profit Margin ไม่ต่ำกว่า 37.3% แม้วัตถุดิบแพงแต่ล็อกราคาล่วงหน้าเรียบร้อย และบรรทัดสุดท้ายไม่มีขาดทุน รายการพิเศษกดดัน หลังรับรู้จบหมดแล้ว (ที่มา ทันหุ้น)

(+) SYNEX (Bloomberg Consensus 16.30 บาท)เดินเกมรุกปี 2568 ตั้งเป้ารายได้โต 13% จากเดิมที่ปี 2567 ทำรายได้อยู่ที่ 41,904 ล้านบาท กำไร 627 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 23% และเตรียมจ่ายปันผล 0.34 บาทต่อหุ้น พร้อมปรับพอร์ตสินค้าเทคโนโลยี รับเทรนด์ AI หนุนองค์กรแบบ Total Solution (ที่มา ทันหุ้น)