กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ ยังขาดปัจจัยกระตุ้นให้ตลาดฟื้นตัว

กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ ยังขาดปัจจัยกระตุ้นให้ตลาดฟื้นตัว

แนวโน้มแกว่งลงต่อ ยังไม่มีปัจจัยกระตุ้นการรีบาวนด์ ในสัปดาห์ที่แล้ว (10-14 กุมภาพันธ์) ตลาดหุ้นไทยยังลงต่อ ซึ่งเป็นไปตามมุมมองรายสัปดาห์ของเราเนื่องจากหตุผลดังต่อไปนี้

ประการแรก นาย Jerome Powell ประธาน Fed ยังคงมีท่าที hawkish ในการแถลงต่อสภา congress ในขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมกราคม ทั้ง CPIs และ PPIs ออกมาสูงเกินคาดทั้งคู่ ดังนั้น ตลาดการเงินจึงเตรียมตัวสำหรับการที่สหรัฐจะลดดอกเบี้ยเพียงรอบเดียวในปี 2568

ประการที่สอง ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนไทยใน 4Q67 ค่อนข้างอ่อนแอ และ ยังมีโอกาสที่จะมีการปรับลด EPS ของบริษัทจดทะเบียนไทยลงอีกในปี 2568 นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุด SET หนัก ๆ คือหุ้น AOT ที่ตกหนักถึงเกือบ 14% เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เนื่องจากนักลงทุนเป็นกังวลมากขึ้นกับสภาพคล่องของผู้เช่าพื้นที่หลักของสนามบิน

สำหรับในสัปดาห์นี้ (17-21 กุมภาพันธ์) เราคาดว่าดัชนี SET จะยังลงต่อแบบ sideways down โดยอาจถูกกดดันจากปัจจัยการลงทุนดังต่อไปนี้

ข้อแรก ภาวะตลาดของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยน่าจะยังถูกกดดันอยู่ต่อไป เพราะหลังจากประเด็น AOT เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประเด็นถัดไปที่จะฉุด SET น่าจะเป็นผลประกอบการ 4Q67 ของ DELTA ซึ่งออกมาต่ำกว่า consensus ถึง 56% ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากขนาดของหุ้น DELTA น่าจะทำให้เกิดผลกระทบกับดัชนีตลาดหุ้นอย่างชัดเจน 

ข้อที่สอง สหรัฐกำลังเผชิญความยุ่งยากมากขึ้นในเชิงของการกำหนดนโยบาย เพราะตัวเลขเงินเฟ้อล่าสุดขยับสูงขึ้น แต่ยอดค้าปลีกเดือนมกราคมลดลงมากกว่าที่คาดเอาไว้ นอกจากนี้ นโยบายภาษีของ Trump ยังมีความไม่แน่นอนสูง ในขณะที่นโยบายการขึ้นภาษีในปัจจุบันยังไม่ค่อยหนักหนามากนัก แต่จะมีการขึ้นภาษีเป็นรายประเทศ และ อาจมีการเก็บภาษีรถยนต์ทั่วโลกในเดือนเมษายน

 

ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ, GDP 4Q67 ของไทย และ กระแสข่าวเรื่องมาตรการ digital wallet
รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะนำ LTF กลับมาอีกครั้ง

ปัจจัยต่างประเทศ: นักลงทุนควรติดตาม i) เหตุการณ์สำคัญทางด้านเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างเช่น การประกาศตัวเลขการเริ่มก่อสร้างบ้านเดือนมกราคม และ การออกรายงานการประชุม FOMC (19 กุมภาพันธ์) และ ยอดขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (20 กุมภาพันธ์) ii) ผลการประชุม PBoC เพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ย loan prime rate (LPR) ซึ่ง Consensus คาดว่าธนาคารกลางของประเทศจีนจะคง LPR 5 ปี เอาไว้เท่าเดิมที่ 3.60%

ปัจจัยในประเทศ: นักลงทุนควรติดตาม i) การประกาศตัวเลข GDP 4Q67 ซึ่ง consensus คาดว่าจะขยายตัว 3.8% YoY ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ของเรามองแบบอนุรักษ์นิยมมากกว่าเล็กน้อย โดยประเมินว่าจะขยายตัว 3.4% YoY ii) กระแสข่าวเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และ ตลาดที่สำคัญ อย่างเช่น digital wallet เฟสที่ 3 และ ความเป็นไปได้ที่จะนำมาตรการกองทุน LTF กลับมาใช้ใหม่ ซึ่งอาจจะกำหนดให้ลงทุนเต็ม 100% ในหุ้นไทย

 

 

เน้นเลือกหุ้นเป็นรายตัวในระยะสั้น โดยกลุ่มผู้บริโภค และ ธนาคารยังคงเป็นกลุ่มที่เราชอบที่สุด 

เนื่องจากเรายังไม่เห็นปัจจัยที่จะมากระตุ้นให้ตลาดหุ้นไทยดีดตัวขึ้นได้ในระยะสั้น เราจึงแนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนแบบ defensive และ รอให้ตลาดย่อยข่าวผลประกอบการ 4Q67 ที่คาดว่าจะออกมากลาง ๆ ในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้าไปให้เรียบร้อยก่อน ในขณะเดียวกัน เรายังคงมองว่ากลุ่มผู้บริโภคและ ธนาคารจะ outperform กลุ่มอื่น ๆ โดยในส่วนของกลุ่มผู้บริโภค เราชอบ CPALL และ CRC ซึ่งผลประกอบการ 4Q67 มีแนวโน้มจะออกมาแข็งแกร่ง และ โมเมนตัมดูสดใสใน 1Q68 สำหรับกลุ่มธนาคาร เรามองว่าแรงขายในสัปดาห์ก่อนจากความกังวลเรื่องสภาพคล่องของผู้เช่าพื้นที่ AOT เป็นเรื่องเกินกว่าเหตุ เรายังคงชอบประเด็นผลตอบแทนจากเงินปันผลที่แข็งแกร่ง และ อาจมีการดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืน โดยเรามองว่า KBANK และ KTB น่าสนใจสำหรับเก็งกำไร